โดย... หทัยรัตน์ ดีประเสริฐ [email protected]
ต้องลุ้นกันว่าผลการประชุมของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (สวล.)ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ จะกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหา พีเอ็ม 2.5 ระยะเร่งด่วน หรือไม่อย่างไร หนึ่งในนั้นก็คือมาตรการให้หน่วยงานภาครัฐ พิจารณาการทำงานที่บ้านและขอความร่วมมือจากบริษัทเอกชนให้ทำงานที่บ้านเช่นเดียวกัน เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสภาพรถยนต์ประจำปี เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจวัดควันดำจากรถยนต์นั่นเอง เพราะหากทำได้ก็จะเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยปริมาณรถยนต์ในท้องถนนลดลงนั่นเอง
ว่ากันว่าการประชุมวันนี้ยังจะมีการพิจารณามาตรการห้ามรถยนต์ที่มีมลพิษสูงวิ่งเข้าพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นกลางและชั้นนอก มาตรการเร่งรัดให้นำน้ำมันดีเซลกำมะถันต่ำกว่า 10 พีพีเอ็ม (เทียบเท่า ยูโร 5) มาจำหน่ายในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ให้หน่วยงานภาครัฐพิจารณาการทำงานที่บ้านและขอความร่วมมือจากบริษัทเอกชนให้ทำงานที่บ้านเช่นเดียวกัน เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสภาพรถยนต์ประจำปี เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจวัดควันดำจากรถยนต์และการบังคับใช้คำสั่งห้ามใช้
รวมทั้งส่วนมาตรการระยะกลางและระยะยาว ประกอบด้วย 1.ปรับปรุงมาตรฐานน้ำมันเชื้อเพลิงให้มีกำมะถันไม่เกิน 10 พีพีเอ็ม (เทียบเท่ามาตรฐาน ยูโร 5) 2.ปรับปรุงมาตรฐานการระบายมลพิษทางอากาศจากรถยนต์ใหม่ให้เป็นไปตามมาตรฐาน ยูโร 6
3.ปรับปรุงค่ามาตรฐานพีเอ็ม 2.5 เฉลี่ยรายปีให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะของ WHO Interim target-3 4.เร่งรัดแผนการเปลี่ยนรถโดยสาร ขสมก. ให้เป็นรถยนต์ที่มีมลพิษต่ำ 5.ปรับปรุงวิธีการและระยะเวลาการตรวจสภาพรถยนต์ประจำปี 6.ควบคุมการนำเครื่องยนต์ใช้แล้วมาเปลี่ยนแทนเครื่องยนต์เก่าในรถยนต์ และ 7.ดำเนินการศึกษาความเหมาะสมในการติดตั้ง Diesel Particulate Filter (DPF) ในรถยนต์ใช้งานอีกด้วย
ทั้งหมดที่ดำเนินการก็เพราะต้องการลดพีเอ็ม 2.5 (Particulate Matters) มาตรฐานของฝุ่นละอองขนาดเล็กที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เนื่องจากวิกฤติฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือพีเอ็ม 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลช่วงปลายปี 2561 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2562 ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ที่ค่าพีเอ็ม 2.5 เป็นสีส้มหรือเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพและสีแดงหรือมีผลกระทบต่อสุขภาพ ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกันย้อนหลังไป 8 ปีปริมาณฝุ่นจะเพิ่มมากขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน และอยู่ในระดับที่เกินค่ามาตรฐานเช่นกัน
จากรายงานโครงการศึกษาแหล่งกำเนิดและแนวทางจัดการฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ของกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจัดทำขึ้นเมื่อปี 2561 ระบุว่า การติดตามตรวจสอบคุณภาพอากาศ พบว่าสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก พีเอ็ม 2.5 เฉลี่ย 24 ชั่วโมง ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลย้อนหลัง 8 ปี ตั้งแต่ปี 2554-2561 เกินเกณฑ์มาตรฐาน ในช่วงปลายปีเดือนธันวาคม และต้นปีเดือนมกราคม-มีนาคมของทุกปี ซึ่งจากการตรวจวัดพีเอ็ม 2.5.ในพื้นที่กรุงเทพฯ พบค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมงเกินค่ามาตรฐานที่ 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร(มคก./ลบ.ม.) 40-50 วันต่อปี
ประลอง ดำรงค์ไทย อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กล่าวว่า แหล่งเกิดฝุ่นพีเอ็ม 2.5 จากรถยนต์ดีเซลที่การเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ 60% ซึ่ง กทม.มีรถยนต์ดีเซลจำนวน 2.5 ล้านคัน และรถยนต์ทั่วไป 9.8 ล้านคัน การเผาในภาคเกษตร 35% และจากภาคอุตสาหกรรม 5% อีกทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ มีการก่อสร้างรถไฟฟ้าเกือบทั่วพื้นที่ มีตึกสูงใหญ่สภาพอากาศไม่ปลอดโปร่ง ส่งผลให้ค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน
ทั้งนี้ข้อมูลกรมขนส่งทางบก จำนวนรถจดทะเบียนในกรุงเทพฯ ปี 2560 มีประมาณ 5.5 ล้านคัน (เฉพาะรถยนต์นั่งและรถบรรทุกส่วนบุคคล) แบ่งเป็น รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน 4,242,556 คัน ใช้เบนซิน 2,655,581 คัน ดีเซล 921,886 คัน อื่นๆ 665,089 คัน รถบรรทุกส่วนบุคคล 1,322,841 คัน ใช้เบนซิน 36,786 คัน ดีเซล 1,181,886 คัน อื่นๆ 104,169 คัน คิดเป็นสัดส่วนทั้งหมด รถเบนซิน 48% รถดีเซล 38% และรถอื่นๆ 14% ส่วนโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศไทยมี 1.4 แสนโรง เป็นโรงงานจำนวนพวกที่ 2 และ 3 ตาม พ.ร.บ.โรงงาน ส่วนจำนวนนิคมอุตสาหกรรม เขตอุตสาหกรรมมี 87 แห่ง
ซึ่งฝุ่นจิ๋วพวกนี้มีผลต่ออายุขัยของมนุษย์ด้วย ศ.นพ.ชายชาญ โพธิรัตน์ อายุรแพทย์เชี่ยวชาญด้านโรคปอด คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และกรรมการที่ปรึกษาชมรมลมวิเศษ กล่าวว่า พีเอ็ม 2.5 จะทำให้อายุขัยเฉลี่ยสั้นลงตามระดับความเข้มข้นของค่าเฉลี่ยรายปีของพีเอ็ม 2.5 ทุกๆ 10 มคก./ลบ.ม.ที่เพิ่มขึ้น จะทำให้ผู้ที่เกิดและอาศัยอยู่ในพื้นที่นั้น อายุขัยสั้นลง 0.98 ปี พื้นที่มีค่า 60 มคก./ลบ.ม.ขึ้นไป สั้นลงราว 5 ปี ค่า 50 มคก./ลบ.ม.ขึ้นไป สั้นลงราว 4 ปี ค่า 40 มคก./ลบ.ม.ขึ้นไป สั้นลง ราว 3 ปี
ทั้งนี้หากสามารถลดค่าลงมาได้ตามที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำที่ค่าเฉลี่ยรายปี 10 มคก./ลบ.ม. จะทำให้อายุขัยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 5.53 ปี แต่หากลดลงมาเหลือ 15 มคก./ลบ.ม. อายุยาวขึ้น 4.37 ปี และลดเหลือ 25 มคก./ลบ.ม. อายุขัยเพิ่มขึ้น 2.41 ปี โดยประเทศไทยสถิติโรคที่ตายสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่ มะเร็ง หลอดเลือดสมอง ปอดอักเสบ หัวใจขาดเลือด และอุบัติเหตุ ซึ่ง 4 ใน 5 โรคเกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ ยกเว้นอุบัติเหตุ
ผศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคปอด คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ผลกระทบต่อสุขภาพจากพีเอ็ม 2.5 แบ่งเป็นกระทบเฉียบพลัน โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง เช่น แน่นหน้าอก โอกาสหัวใจขาดเลือดมากขึ้น และกระทบระยะยาวต่อประชากรทุกคนที่อยู่ในพื้นที่นั้น เช่น มะเร็งปอด ถุงลมโป่งพอง สมองเสื่อม พัฒนาการเด็กช้า เป็นต้น
ทั้งนี้ ฮูกำหนดค่าพีเอ็ม 2.5 ที่ปลอดภัย ค่าเฉลี่ยรายวัน 25 มคก./ลบ.ม. ค่าเฉลี่ยรายปี 10 มคก./ลบ.ม. สิ่งที่รัฐบาลต้องทำคือปรับค่าเกณฑ์มาตรฐานพีเอ็ม 2.5 ลงตามที่ฮูกำหนด จะต้องเริ่มเตือนมีผลกระทบต่อสุขภาพ ระดับสีส้ม ตั้งแต่ค่าเฉลี่ยรายวัน 35.5 มคก./ลบ.ม. และสีแดงระดับอันตรายตั้งแต่ค่า 55.5 มคก./ลบ.ม. และฮูเคยแนะนำไทยให้ปรับค่าเฉลี่ยรายปีอยู่ที่ 25 มคก./ลบ.ม. หากสามารถลดลงเหลือ 15 มคก./ลบ.ม. จะเพิ่มการอยู่รอดขึ้น 3% และลดเหลือ 10 มคก./ลบ.ม. เพิ่มการอยู่รอดขึ้น 4% หากควบคุมค่าพีเอ็ม 2.5 ไม่ให้เกินฮูกำหนด คนไทย 80% อายุขัยจะยืนยาวขึ้นราว 1-6 ปี ซึ่งประเทศไทยมีการกำหนดค่าเฉลี่ยรายปีที่ 25 มคก./ลบ.ม. และค่าเฉลี่ยรายวันที่ 50 มคก./ลบ.ม. สูงกว่าค่าฮู 2 เท่ามาตั้งแต่ปี 2553
จริยา เสนพงศ์ ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้กรณีกรีนพีซ ประเทศไทย ได้เสนอให้กรมควบคุมมลพิษยกร่างมาตรฐานพีเอ็ม 2.5 ในบรรยากาศสำหรับประเทศไทยในปี 2562 จาก 50 มค.ก/ลบ.ม ลงมาที่ 35 มค.ก/ลบ.ม (ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง) และ 12 มค.ก/ลบ.ม (ค่าเฉลี่ย 1 ปี) และปี 2573 ลงมาที่ 25 มค.ก/ลบ.ม (ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง) และ 10 มค.ก/ลบ.ม (ค่าเฉลี่ย 1 ปี) แต่ปัจจุบันยังไม่มีความคืบหน้า ทั้งๆ ที่ประเทศไทยเผชิญกับฝุ่นละอองเข้าสู่ปีที่ 9 ขณะเดียวกัน ประเทศเพื่อนบ้านอย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ มาเลเซีย มีการตื่นตัวและมีเป้าหมายปรับลดค่าเฉลี่ยลงให้ใกล้เคียงกับฮู
“กรีนพีซพยายามผลักดันให้ปรับลดค่าเฉลี่ยมาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา เรื่องนี้ควรจะเป็นวาระแห่งชาติตั้งนานแล้ว และควรจะชาตินี้ด้วย การให้ข้อมูลแก่ประชาชนควรจะให้ครอบคลุมทั้งตัวเลขและความจริง ซึ่งตอนนี้ก็มีเครือข่ายหลายหน่วยงานที่ร่วมผลักดันในเรื่องนี้”
สุพัฒน์ หวังวงศ์วัฒนา ที่ปรึกษาสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย กล่าวว่า มีความเป็นไปได้สูงมากในเวลาอันใกล้นี้ที่รัฐบาลจะพิจารณาปรับค่ารายปีอยู่ที่ 15 มคก./ลบ.ม. ที่เป็นค่าเป้าหมายระยะที่ 3 ของฮู ใช้เป็นเป้าหมายในระยะ 5-6 ปีข้างหน้า จะส่งผลให้ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันทำงานขับเคลื่อนเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมาย จากนั้นเมื่อสำเร็จตามเป้าระยะนี้แล้ว จึงค่อยขยับสู่เป้าระยะ 4 ของฮู ซึ่งเป็นค่าแนะนำที่ปลอดภัยที่สุด คือ 10 มคก./ลบ.ม. เนื่องจากในการตั้งเป้าแต่ละครั้งจะต้องเป็นการตั้งเป้าหมายที่สามารถทำได้
ส่วนค่าเฉลี่ยใน 24 ชั่วโมง ค่าที่ฮูแนะนำคือ 25 มคก./ลบ.ม.และค่าเกณฑ์มาตรฐานของกรมควบคุมมลพิษคือ 50 มคก./ลบ.ม.นั้น ในช่วงเวลาปลายปีจนถึงต้นปีส่วนของพื้นที่กทม.ยังทำไม่ได้ บางวันยังมีค่าสูงถึง 100 มคก./ลบ.ม. จำเป็นต้องเพิ่มมาตรการระยะเร่งด่วนเข้าไป เพื่อให้ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมงอยู่ในระดับตามเกณฑ์ของกรมควบคุมมลพิษให้ได้
ก่อนหน้านี้ มูลนิธิบูรณะนิเวศ ร่วมกับมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม เคยร่างกฎหมายฉบับประชาชนชื่อ “กฎหมายว่าด้วยการรายงานข้อมูลการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม” เสนอให้รัฐบาลพิจารณา เพราะเป็นกฎหมายที่กว่า 50 ประเทศทั่วโลกใช้ และเห็นผลจริง แต่จนถึงวันนี้ยังไม่เห็นรัฐบาลใช้กฎหมายควบคุมมลพิษอย่างจริงจังกับภาคอุตสาหกรรม ซึ่งหากมีการนำกฏหมายมาใช้ ในระยะแรกภาคเอกชนอาจจะต้องลงทุนเพิ่มในช่วง 2-3 ปีแรก แต่ระยะยาวจะคุ้มทุน ภาพลักษณ์โรงงานจะดีขึ้น โรงงานอุตสาหกรรมกับชุมชนอยู่ร่วมกันได้มากขึ้น
การลดค่าพีเอ็ม 2.5 ตามที่ฮูแนะนำทำได้จริง ภาครัฐจะต้องเอาจริงกับมาตรการที่จะออกมา เข้มงวดกับการใช้รถที่ก่อมลพิษอย่างเด็ดขาด จะทำให้รถบนท้องถนนหายไปจำนวนมาก แต่ภาคเอกชนต้องลงทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกมาจำหน่าย ประชาชนจะควักกระเป๋าจ่ายเงินเปลี่ยนรถใหม่ให้เครื่องยนต์สะอาดขึ้น รวมทั้งที่อยู่อาศัย คอนโดต้องมีที่กรองอากาศ การสร้างตึก อาคารต้องมีช่องว่างให้มีลมพัดผ่าน ประชาชนต้องร่วมกันปลูกต้นไม้เพื่อดูดซับฝุ่น เหล่านี้จะทำให้ค่าพีเอ็ม 2.5 ลดลง แต่ทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง