Lifestyle

ร.ร.นานาชาติไทยรุ่งมูลค่า6หมื่นล้าน-โตสุดเซาท์อีสเอเชีย

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ร.ร.นานาชาติไทยรุ่งมูลค่า6หมื่นล้าน-โตสุดเซาท์อีสเอเชีย : รายงาน  โดย...  ปาริชาติ บุญเอก [email protected] -


 

          ปัจจุบันมีจำนวนโรงเรียนนานาชาติทั้งหมด 205 แห่ง เป็นสมาชิกสมาคมโรงเรียนนานาชาติ 141 แห่ง มีอัตราการเติบโตปีละ 9% หากย้อนหลังไปสัก 4-5 ปีที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตดับเบิลดิจิต 4 ปีซ้อน เรียกได้ว่า โรงเรียนนานาชาติของไทยเติบโตมากที่สุดในเซาท์อีสเอเชีย

 

 

          สำหรับจำนวนนักเรียนในสมาคมมีอยู่ราวๆ 55,000 คน ใน 141 โรงเรียน เติบโตต่อเนื่องปีละ 4-5% รวมจำนวนนักเรียนในโรงเรียนที่ไม่ได้เป็นสมาชิกสมาคมจะอยู่ที่ราวๆ 75,000-76,000 คน จำนวนครูในสมาคม 7,730 คน เติบโต 5% ต่อปี หากรวมนอกสมาคมอยู่ที่ประมาณ 10,000 คน ​มีมูลค่าตลาดโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย 63,700 ล้านบาท
    

          ปรมิตร ศรีกุเรชา อุปนายกสมาคม โรงเรียนนานาชาติแห่งประเทศไทย ให้ความเห็นว่าเนื่องจากประเทศไทยมีที่ตั้งที่ดีที่สุดในเซาท์อีสเอเชีย จำนวนนักเรียนที่โตไม่ได้โตแค่นักเรียนต่างชาติ (Expat) แต่โตในแง่ของนักเรียนไทยที่เข้ามาเรียนเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากคนมีลูกน้อยลง อัตราการเกิดค่อนข้างต่ำ 1.7 คนต่อ 1,000 คน ปีหนึ่งคนเกิดไม่เกิด 7 แสนคน ตกจากล้านกว่าคนเมื่อ 4-5 ปีก่อน ทำให้ผู้ปกครองหันมามองว่าเมื่อมีลูกน้อยก็อยากส่งให้ดีๆ และภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่จำเป็นต่ออนาคต และตอนนี้โรงเรียนนานาชาติทุกโรงเรียนก็มีหลักสูตรภาษาจีนเข้าไปส่งเสริม นอกจากนี้เมื่อ 3-4 ปีที่ผานมา จำนวนคนจีนเข้ามาเรียนที่ไทยสูงขึ้น โดยในหมู่ Expat คนจีนเติบโตมากที่สุด คาดโรงเรียนนานาชาติในไทยจะทะลุ 250 แห่ง ภายใน 4-5 ปีข้างหน้าอย่างแน่นอน
     

          ทั้งนี้แม้จะมีการเพิ่มขึ้นของโรงเรียนสองภาษา  เราไม่ได้มองเขาเป็นคู่แข่ง และเขาก็ไม่ได้มองเราเป็นคู่แข่ง เพราะตำแหน่งไม่เหมือนกัน และสุดท้ายคนที่เลือกก็คือผู้ปกครอง เขามองที่คุณภาพ มองที่ตั้ง กำลังซื้อของตัวเอง เป็นสิ่งที่แต่ละคนเลือก ไม่อย่างนั้นโรงเรียนจะไม่สามารถโตมาได้ถึงขนาดนี้

 

 


          อานิสงส์จีนปลดล็อกลูกคนที่สอง
          อุปนายกสมาคมโรงเรียนนานาชาติแห่งประเทศไทย กล่าวต่อว่า นอกจากนี้นโยบายประเทศจีนที่ปลดล็อกลูกคนที่สอง ทำให้ใน 4-5 ปีข้างหน้า โรงเรียนในประเทศจีนจะไม่เพียงพอต่อจำนวนเด็กเกิดใหม่ ดังนั้นหากมองการเติบโตของโรงเรียนนานาชาติยังคงสูงต่อเนื่องอยู่ คนจีนที่อยากย้ายมาอยู่เมืองไทยก็มีมากขึ้น รวมไปถึงหากโครงการ  Eastern Economic Corridor หรือโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเกิดขึ้นจริง การลงทุนของทุกภาคส่วนก็จะดีขึ้นและโรงเรียนนานาชาติก็จะได้รับอานิสงส์
  

          นอกจากนี้ถัดมาถ้าเส้นทาง “One Belt and One Road” เส้นทางการเชื่อมโยงทางการค้าใหม่ของจีนสำเร็จ ก็จะทำให้คนจีนขยับมาที่ประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันสัดส่วนของประเทศอื่นๆ ที่มาลงทุนในประเทศไทยก็ไม่ได้น้อยลง นอกจากนี้สงครามการค้าก็มีผลดีต่อประเทศไทย เพราะจะมีการย้ายฐานการผลิตมาที่เมืองไทยเพิ่มขึ้น และต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยเรียกว่าโรงเรียน โรงพยาบาล ค่าครองชีพ ก็จะได้รับอานิสงส์ รวมไปถึงโรงเรียนนานาชาติในไทยก็จะได้รับประโยชน์เพิ่มตามมาด้วยเช่นกัน


          ร.ร.นานาชาติโตเด็กไทยได้อานิสงส์
          “ตอนนี้เราให้ความสำคัญกับสัดส่วนนักเรียนไทยด้วย จริงอยู่หลายๆ โรงเรียนนักเรียนไทยค่อนข้างเยอะ แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณภาพการศึกษาจะด้อยลง เรากลับมองว่าเราได้เพิ่มโอกาสในการศึกษาให้คนในประเทศ ที่เข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ เพื่อให้คนเหล่านั้นไปพัฒนาประเทศ คนเหล่านั้นคือเจเนอเรชั่นถัดไปในการพัฒนาประเทศชาติของเรา ถ้าเราส่งเสริมเขา ให้โอกาสเขา ต่อไปคนที่มีคุณภาพในประเทศก็จะเยอะขึ้น และความเจริญก้าวหน้าในประเทศก็จะเยอะขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน”  ปรมิตร กล่าว
    

          เขามองว่าการพัฒนาคนเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการพัฒนาประเทศ การที่นักเรียนไทยเพิ่มขึ้นในโรงเรียนนานาชาติ ก็เป็นการเปิดโอกาสให้คนไทยได้พัฒนา และเมื่อคนพัฒนา สังคมก็พัฒนา และประเทศชาติก็จะพัฒนาตามไปด้วยส่วนโรงเรียนนานาชาติก็ปรับตัวไปเรื่อยๆ เพื่อพัฒนาตามสังคมที่เปลี่ยนไป เราต้องการให้เตรียมเด็กไทยให้พร้อมสำหรับการพัฒนาสังคมไทยในอนาคต
แนะรัฐใช้โอกาสดึงรายได้เข้าประเทศ
   

          ทั้งนี้จากมูลค่าตลาดโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย 63,700 ล้านบาท รายได้ของโรงเรียนนานาชาติที่มาจากทั้งทางตรงและทางอ้อม เพราะมาจากดีมานด์ของทั้งไทยและต่างประเทศอ้อม รัฐบาลควรมีการต่อยอดและส่งเสริมสนับสนุนการจัดการศึกษานานาชาติของไทย เช่น การให้วีซ่าครูต่างชาติ  ใบอนุญาตทำงาน (เวิร์กเพอร์มิต) เพราะเขาได้ใบประกอบวิชาชีพจากบ้านของเขามาแล้ว คุณภาพของนักเรียนโรงเรียนนานาชาติมีการสอบ International School Assessment (ISA) ซึ่งผลการสอบสูงกว่าประเทศฟินแลนด์ อเมริกา ดังนั้นควรทำให้เป็นจุดขายของประเทศไทยได้
  

          ซึ่งผลการสอบดังกล่าวเทียบได้กับการสอบ The Programme for International Student Assessment (PISA) คือการสำรวจระดับนานาชาติแบบทุก 3 ปี เพื่อประเมินระบบการศึกษาทั่วโลก ผ่านการทดสอบทักษะและความรู้ความสามารถของนักเรียนวัย 15 ปี การสอบปี 2015 ที่ผ่านมา มีนักเรียนกว่า 5 แสนคนจาก 72 ประเทศ ใช้เวลาสอบ 2 ชั่วโมงในการสอบ 3 วิชาคือวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และทักษะการอ่าน ตัวข้อสอบจะแปลเป็นภาษาของผู้เข้าสอบรวม 90 ภาษา เช่นนักเรียนไทยได้สอบข้อสอบภาษาไทย ส่วนนักเรียนฝรั่งเศสได้สอบข้อสอบภาษาฝรั่งเศส แต่ทั้งหมดคือข้อสอบชุดเดียวกัน โจทย์เดียวกันหมด


          “รัฐบาลควรจะมีมาตรการสนับสนุนให้โรงเรียนนานาชาติมากยิ่งขึ้น เช่นส่งเสริมให้ต่างประเทศเข้ามาเรียนโรงเรียนนานาชาติในประเทศมากขึ้น ด้วยการให้กระทรวงพาณิชย์ หรือสถานทูตไทยแนะนำโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทยว่ามีการจัดการศึกษาได้มาตรฐานคุณภาพระดับสากลอย่างไรบ้าง เพื่อช่วยกันผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการศึกษาในภูมิิภาคนี้ (Education Hub) ขณะเดียวกันสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ควรปรับมีระบบนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการทำงานให้มีขั้นตอนในการทำงานที่รวดเร็วมากยิ่งขึ้นเพื่อเป็นการส่งเสริมโรงเรียนนานาชาติให้สามารถสร้างรายได้ให้ประเทศไทยมากยิ่งขึ้นนั่นเอง”
 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ