เช็กกระแส"หนุน-ค้าน"โชว์ขุมทรัพย์นายก-กรรมการสภามหาวิทยาลัย : รายงาน โดย... ทีมข่าวคุณภาพชีวิต [email protected]
หลังประกาศฉบับใหม่ของ ป.ป.ช. ที่ให้นายกและกรรมการสภามหาวิทยาลัย ทั้งของมหาวิทยาลัยรัฐและมหาวิทยาลัยนอกระบบ หรือ “มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ” ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. ออกมาเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ทำให้มีกระแสข่าวว่า “กรรมการสภามหาวิทยาลัย” โดยเฉพาะในสายผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอก ซึ่งมาจากภาคเอกชน เตรียมไขก๊อกลาออกเป็นจำนวนมาก เพราะไม่อยากแสดงบัญชีทรัพย์สิน
อย่างที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล หรือ ทปอ.มทร. 9 แห่งทั่วประเทศ ภายใต้การนำของ “วิโรจน์ ลิ้มไขแสง” อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ในฐานะประธานที่ประชุม 9 อธิการบดี มทร. มีมติคัดค้านการยื่นบัญชีทรัพย์สินของกรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ โดยให้เหตุผลว่าจะสร้างแรงกระเพื่อมอย่างมากในวงการอุดมศึกษา กระทั่งมีการเรียกร้องไปยังกระทรวงศึกษาธิการให้ช่วยหารือกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจรติแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อทบทวน
"นายกสภาและกรรมการสภามหาวิทยาลัย สายผู้ทรงคุณวุฒิ แต่ละแห่งมีจำนวน 15 คน ส่วนใหญ่มาจากภาคเอกชน ต่างแสดงความจำนงที่จะขอลาออกจากการเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัย เนื่องจากเห็นว่าเป็นเรื่องยุ่งยากที่จะต้องมายื่นบัญชีทรัพย์สิน เพราะการเข้ามานั่งเป็นนายกสภา หรือกรรมการสภามหาวิทยาลัย เข้ามาด้วยใจ ไม่ได้มีผลประโยชน์"
ขณะที่ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) แม้ว่าจะเห็นด้วยในหลักการป้องกันและตรวจสอบไม่ให้มีการทุจริตในภาครัฐ ดังนั้น ผู้บริหารระดับสูง ได้แก่ อธิการบดี และรองอธิการบดี จึงควรยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.ตามที่กำหนดในประกาศ แต่การที่ให้นายก และกรรมการสภา ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับด้านวิชาการเป็นหลัก ไม่ได้มีอำนาจเกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างในภาครัฐโดยตรง อันจะทำให้เกิดการทุจริตในตำแหน่งหน้าที่ กรรมการสภาไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียในการบริหาร หรือเป็นผู้บริหารระดับสูงขององค์กร จึงไม่มีความจำเป็นที่จะกำหนดให้กรรมการสภา ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.
ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ในฐานะประธาน ทปอ. อธิบายว่า ผลกระทบจากประกาศฉบับนี้ ทำให้นายก และกรรมการสภาบางแห่ง ไม่ประสงค์จะปฏิบัติหน้าที่ต่อไป เพราะการยื่นบัญชีทรัพย์สินแม้ว่าจะเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจ เพื่อธรรมาภิบาล แต่ก็เป็นการสร้างภาระให้แก่ผู้ที่ต้องยื่นทรัพย์สินมากเกินควร รวมทั้งต้องยื่นทรัพย์สินของคู่สมรสและบุตรด้วย
ขณะเดียวกัน ระยะเวลาที่กำหนดไว้ในประกาศเพียง 60 วัน ไม่เพียงพอต่อการยื่นบัญชีทรัพย์สินให้ถูกต้องและครบถ้วนได้ ดังนั้น หากยื่นบัญชีผิดพลาด แม้ไม่ได้เจตนาก็อาจมีโทษทางอาญาและถูกศาลพิพากษาจำคุกได้ จึงได้มีนายก และกรรมการสภาบางแห่ง ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งแล้ว ส่งผลกระทบให้สภา มีกรรมการสภาไม่ครบองค์ประชุม ไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้ ส่งผลเสียต่อการบริหารงานในมหาวิทยาลัย และนิสิต นักศึกษา
“อธิการบดี ผู้แทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยทุกกลุ่มมาหารือ และมีมติร่วมกันเสนอให้ ป.ป.ช.ทบทวน เพราะตอนนี้กรรมการสภาบางแห่งได้ยื่นลาออกแล้ว ตรงนี้ทำให้เกิดปัญหาและอาจส่งผลกระทบต่อนิสิต นักศึกษา จากนี้จะทำหนังสือถึง ป.ป.ช. และเตรียมจะเข้าไปหารือกับประธาน ป.ป.ช.อย่างเป็นทางการต่อไป” ประธาน ทปอ. กล่าว
นพ.กำจร ตติยกวี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เสนอว่า ถ้า ป.ป.ช.ทบทวน หรือปรับวิธีการการยื่นบัญชีทรัพย์สินให้มีความสะดวกมากขึ้น เช่น ยื่นครั้งเดียวครอบคลุมทุกตำแหน่ง หรือมีระยะเวลาการยื่น เช่น 4 ปีครั้ง ก็จะทำให้สะดวกมากขึ้น เชื่อว่าขณะนี้ทุกคนกำลังรอดูท่าที ป.ป.ช. ยอมรับว่าสภาจุฬาฯ หารือเรื่องนี้กันจริง และมีบางคนมีความประสงค์ว่าหากการยื่นบัญชีทรัพย์สินของ ป.ป.ช.ทำให้เกิดความยุ่งยาก ก็อาจจะลาออกจากตำแหน่ง
นพ.จรัส สุวรรณเวลา นายกสภามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์(ม.อ.) กล่าวว่า ควรจะหาทางออกที่เป็นทางสายกลางคือ ให้ยื่นบัญชีทรัพย์สินแต่เก็บข้อมูลใส่ซองไว้ในกรณีที่มีปัญหาค่อยมาเปิดดู ไม่ใช่เปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ เพราะหากเป็นภาคเอกชนที่เชิญเข้ามาเชื่อว่าไม่ต้องการที่จะยื่นบัญชีทรัพย์สินแน่นอน ซึ่งในส่วนของ ม.อ.ยังไม่ได้มีการพูดคุยกัน ต้องรอดูว่า รมว.ศึกษาธิการ จะมีความเห็นเป็นอย่างไร
วุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ สมาชิกสนช. และอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง กล่าวว่า บุคคลที่มหาวิทยาลัยเชิญมาเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจ ทำให้เกิดความกังวล หากจะต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน เพราะหากยื่นผิดจะมีความผิดทางกฎหมาย จึงอยากให้ ป.ป.ช.ทบทวนเรื่องนี้ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นนักธุรกิจเหล่านี้ มีมุมมองประสบการณ์ ให้คำแนะนำด้านการบริหารงานที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนามหาวิทยาลัย คนเหล่านี้ไม่มีเงินเดือน มีแค่เบี้ยประชุมเท่านั้น อย่างสภามหาวิทยาลัยรามคำแหงขณะนี้ ก็มีกรรมการสภาหลายคนเปรยๆ จะลาออก หากต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน รวมถึงกรรมการสภามหาวิทยาลัย สายที่เป็นอาจารย์ก็อยากยื่นลาออกด้วย
เดิมผู้บริหารมหาวิทยาลัยของรัฐ 58 แห่ง คือตำแหน่งในกลุ่มอธิการบดีที่มีสถานะเป็นข้าราชการ ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงมหาวิทยาลัยราชภัฏและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลด้วย ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินกันอยู่แล้ว แต่ประกาศของ ป.ป.ช.ฉบับใหม่ได้ขยายตำแหน่งที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินไปถึงอธิการบดี นายกสภาและกรรมการสภามหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐอีก 26 แห่ง ตลอดจนนายกสภาและกรรมการสภามหาวิทยาลัยของรัฐ 58 แห่งด้วย (เดิมให้ยื่นเฉพาะอธิการบดี แต่ล่าสุดให้ขยายไปถึงนายกและกรรมการสภามหาวิทยาลัย) โดยผู้ดำรงตำแหน่งเหล่านี้ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของตนเอง คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่อ ป.ป.ช. มีผลตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม เป็นต้นไป
อย่างไรก็ตามเรื่องนี้มีอีกฝั่งที่เห็นต่าง ก็คือ ศูนย์ประสานงานบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ หรือ CHES นำโดย รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ ได้เดินทางไปที่สำนักงาน ป.ป.ช เพื่อยื่นหนังสือสนับสนุนประกาศฉบับใหม่ของ ป.ป.ช. ที่ให้นายกและกรรมการสภามหาวิทยาลัยของรัฐและในกำกับของรัฐทั่วประเทศ ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน เพราะเป็นหนึ่งในมาตรการป้องกันการทุจริตในแวดวงอุดมศึกษา ท่ามกลางวิกฤติปัญหาธรรมาภิบาลในปัจจุบัน พร้อมทั้งได้ขอให้ ป.ป.ช.ขยายการบังคับให้ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินไปจนถึงระดับ “คณบดี” ด้วยเพราะจะเป็นผลดีต่อการสร้างธรรมาภิบาลในระบบอุดมศึกษา รวมทั้งที่ประชุมสภาคณาจารย์และข้าราชการมหาวิทยาลัยราชภัฏ หรือ ทป.มรภ. ก็มีมติเห็นชอบตามประกาศ ป.ป.ช. และสนับสนุนให้กรรมการสภามหาวิทยาลัยยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินทุกคนเช่นกัน
เรื่องนี้ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ก็รับลูก เตรียมนัดหารือกับประธาน ป.ป.ช. ล่าสุด พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. ได้ออกมายืนยันแล้วว่าจะหารือกับรองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย นายวิษณุ เครืองาม และจะยุติความสับสน ผลสุดท้ายกรรมการสภามหาวิทยาลัยต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินหรือไม่ สัปดาห์หน้าก็จะได้รู้กัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง