ไลฟ์สไตล์

สธ.พอใจวิกฤติการเงินรพ.ดีขึ้น

สธ.พอใจวิกฤติการเงินรพ.ดีขึ้น

06 พ.ย. 2560

รมว.สธ.เผยสิ้นปีงบ60 รพ.วิกฤติการเงินระดับ 7 ลดลงกว่าปี 59 จำนวน 32 แห่ง เหลือ 87 แห่ง

       เมื่อเวลา 11.00 น. วันที 6 พ.ย.2560 ที่โรงแรมเซ็นทราศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์  ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมว.สธ.) ให้สัมภาษณ์เรื่องสภาพคล่องทางการเงินของโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)ว่า โรงพยาบาลสังกัด สธ.มีประมาณ 10,000 แห่ง เป็น รพศ. รพท. 100 กว่าแห่ง รพช. 800 กว่าแห่ง และ รพ.สต. 9,000 กว่าแห่ง ดูแลสุขภาพประชาชนทั้งประเทศประมาณ 70% ของทั้งหมด ซึ่งในจำนวนนี้ย่อมจะมีบ้างที่ประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน

       โดยในส่วนที่ประสบปัญหาวิกฤตการเงินระดับ 7 ที่เป็นระดับสูงสุดในปีงบประมาณ 2559 มีจำนวน 119 แห่ง สิ้นปีงบประมาณ 2560 เหลือ 87 แห่ง ลดลง 32 แห่ง  ถือว่าการบริหารจัดกรเป็นที่น่าพอใจ เป็นผลจากการที่รัฐบาลได้จัดสรรงบกลางให้เฉพาะ 5,000 ล้านบาท รวมถึง สปสช.มีการปรับเปลี่ยนการสรรงบเหมาจ่ายรายหัว และการให้ความรู้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการแก่ผู้บริหาร รพ.

       "ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพและการดูแลสุขภาพประชาชน ไม่มีประเทศไหนในโลกที่มีงบประมาณเพียงพอ แม้จะเป็นประเทศที่มีรายได้มากอย่างอังกฤษหรือญี่ปุ่น ในส่วนของประเทศไทยรัฐบาลได้จัดสรรงบให้ลงมาอย่างจำกัด ในปีที่ผ่านมาค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพได้รับการจัดสรรเพิ่มขึ้น แม้งบประมาณทั้งประเทศจะลดลง อย่างไรก็ตาม สัดส่วนประชากรที่มีผู้สูงอายุมากขึ้นถึง 1 ใน 4 ย่อมมีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดาและเข้ารับการดูแลรักษา ขณะที่เทคโนโลยีในการรักษาสูงขึ้น แต่ราคาก็แพงขึ้นด้วย ซึ่ง รพ.ที่ประสบปัญหาวิกฤตทางการเงิน ไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อ 1-2 ปี แต่เกิดมาหลายปี และค่อยๆ เพิ่มขึ้นแม้งบจะเพิ่มขึ้นทุกปีก็ตาม แต่ 2-3 ปีที่ผ่านมา สธ.มีการประเมินอย่างใกล้ชิด และร่วมกันแก้ปัญหา ทำให้สถานการณ์ค่อยๆ ลดลง" ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล กล่าว

      ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า แนวทางในการแก้ปัญหาวิกฤตทางการเงินของ รพ.ที่ผ่านมาได้มีการปรับระบบการจัดสรรงบเหมาจ่ายรายหัวของบัตรทองให้เกิดความสมดุล ตามแต่ละพื้นที่ของ รพ. ซึ่งที่ผ่านมา รพ.ที่รับผิดชอบประชากรน้อย เงินเหมาจ่ายที่ได้รับก็น้อยตั้งแต่เริ่มต้น ส่วน รพ.ที่มีประชากรหนาแน่น เงินก็ได้รับเป็นจำนวนมากตั้งแต่ต้น จึงมีการปรับให้มีการจัดสรรตามต้นทุนจริง รวมถึงการปรับบริหารจัดการภายใน รพ. โดยผู้บริหารและทีมงาน ด้วยการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ เช่น การรับบริจาคเข้า รพ. และการเปิดคลินิกิเศษนอกเวลาใน รพ.ขนาดใหญ่ที่มีความแออัด และมีความพร้อมเพื่อให้ประชาชนสามารถมาใช้บริการนอกเวลา แต่เสียค่าใช้จ่ายส่วนที่เพิ่มขึ้น ทำให้ความแออัดของคนไข้ช่วงกลางวันลดลง ประชาชนสามารถได้รับบริการนอกเวลาขณะที่แพทย์ไม่ต้องออกไปทำงานในคลินิกหรือ รพ.เอกชน ขณะที่ รพ.ก็ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในเวลาที่ควรจะปิดแต่ต้องเสียค่าเสื่อมไปเหมือนกันมาใช้ประโยชน์ ซึ่งขณะนี้มีการนำร่องไปแล้ว 9 แห่ง ได้แก่ 1.รพ.ป่าตอง ภูเก็ต 2.รพ.วชิระภูเก็ต3.รพ.ชลบุรี 4.รพ.ระยอง 5.รพ.หนองคาย 6.รพ.ขอนแก่น7.รพ.หาดใหญ่8.รพ.นครพิงค์ และ9.รพ.ศรีสะเกษ กำลังอยู่ระหว่างการติดตามประเมินผล

      ผู้สื่อข่าวถามว่า รพ.มีการแยกส่วนระหว่างเงินได้จากงบประมาณของรัฐและเงินบริจาคอย่างไร ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า งบประมาณของรัฐไม่พอในการบริหารจัดการดูแลสุขภาพประชาชนทุกคน ซึ่งการบริจาคเข้า รพ.มีการดำเนินการมานานแล้ว เพราะฉะนั้นมีความชัดเจนในส่วนของการบริหารจัดการ แยกส่วนระหว่างเงินงบจากรัฐ ซึ่งไม่ค่อยเพียงพอ ขณะที่ รพ.จะมีเงินที่เรียกว่าเงินบำรุง รพ. ซึ่งเป็นรายได้ของ รพ.เอง เงินบริจาคก็จัดเป็นส่วนหนึ่งของเงินในส่วนนี้ที่ รพ.จะสามารถนำมาบริหารจัดการของตนเองได้

       อย่างไรก็ตาม สธ.มีการหารือกับกรมบัญชรกลาง กระทรวงการคลัง ในหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนเงินบริจาค ซึ่งจะมีคณะกรรมการดูแลรับผิดชอบ มี ผอ.รพ.เป็นประธาน และมีภาคประชาสังคมเข้ามาร่วมดูแล เพื่อให้เกิดความโปร่งใสตรวจสอบได้ ซึ่งเงินบริจาคหากเป็นเงินที่ผู้บริจาคแจ้งวัตถุประสงค์ชัดเจนก็จะดำเนินการตามนั้น เช่น บริจาคเพื่อผู้ป่วยยากไร้ หรือบริจาคเพื่อจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์อย่างใดอย่างหนึ่ง หากไม่ได้ระบุ รพ.ก็สามารถนำมาบริหารภายในได้ ทั้งนี้ รพ.จะต้องแจ้งให้ประชาชนทราบได้อย่างชัดเจนว่าผลที่เกิดขึ้นจากการบริจาคเป็นอย่างไรบ้าง

        เมื่อถามว่า การขาดสภาพคล่องทางการเงินของ รพ.สธ.จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต  ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า ระบบบัตรทองมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นตลอด เพราะ 1.ประชากรเพิ่มขึ้นแม้สัดส่วนไม่มาก จำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น และเทคโนโลยีในการรักษาสูงขึ้นและมีราคาแพง เพราะฉะนั้นค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพที่ไม่ดีก็เพิ่มขึ้น ต้องยอมรับว่างบด้านสุขภาพไม่เพียงพอ เพราะฉะนั้น นโยบายของรัฐพยายามมุ่งเน้นการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคและคุ้มครองผู้บริโภค ถ้าทุกภาคส่วนช่วยกันให้ประชาชนตระหนักในการดูแลสุขภาพให้เจ็บป่วยน้อยที่สุด แม้งบด้านนี้จะเพิ่มขึ้นน้อยก็จะเพียงพอ อย่าปล่อยให้ภาครัฐทำเพียงอย่างเดียว แต่ทุกคนต้องช่วยกันเพราะ รพ.เป็นของชุมชนท้องถิ่น ของคนไทย ไม่ใช่ของรัฐบาล