3ปี3รัฐมนตรีปฏิรูปการศึกษาไทย ไปไม่ถึงฝัน?

          จากผลสำรวจ Education Watch "3 ปี 3 รัฐมนตรี เหลียวหลังแลหน้า ปฏิรูปการศึกษาไทยไปถึงไหนแล้ว” ของ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ได้ติดตามสถานการณ์การศึกษา จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 1,177 คน  อายุเฉลี่ยประมาณ 50-60  ปี โดยสำรวจถึงการรับรู้การเปลี่ยนแปลงการปฏิรูปการศึกษา 4 มิติ

      ได้แก่  มิติด้านห้องเรียนและนักเรียน/นักศึกษา ด้านครู  ด้านผู้บริหารสถานศึกษา  ด้านการจัดการเชิงนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)  ซึ่งผลสำรวจส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการเรียนของนักเรียน/นักศึกษา ด้านจริยธรรมและคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของนักเรียน/นักศึกษา และความสามารถด้านวิชาการของนักเรียน/นักศึกษา กลับด้อยลง 

     แต่ยังดีที่คุณภาพการสอนของครู  พฤติกรรมการทำงาน การบริหารของครูดีขึ้น ถึงแม้คุณภาพการบริหารโรงเรียน เหมือนเดิม  การจัดการเชิงนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) พบว่าการทุจริตคอรัปชั่น เหมือนเดิม ดีขึ้นนิดเดียว  คุณภาพการบริหารงานของศธ. การปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารศธ. และผลงานการปฏิรูปการศึกษาโดยรวมด้อยลง

   ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ

     ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ  ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาด้านเด็กและเยาวชน คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า สภาพปฏิรูปการศึกษาปัจจุบันเป็นผลพวงจากการปฏิรูปการศึกษา พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ปี 2542 ซึ่งมีหลักการดี แต่เวลาลงสู่ปฏิบัติกลายเป็นผลไม้มีพิษ ส่งผลกับวิกฤตทางการศึกษานานับประการ ทั้งเรื่องโครงสร้างการบริหารงานที่ปรับจาก 14 กรม เป็น 5 แท่ง

      อีกทั้ง หลักสูตรอิงมาตรฐาน จัดเป็นกลุ่มสาระการเรียนรู้ 8 กลุ่ม  และการประเมินวิทยฐานะโดยเน้นเอกสารและงานวิจัย ซึ่งงบประมาณศธ. เพิ่มขึ้นทุกปี และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ภาพรวมการเปลี่ยนแปลงการศึกษากลับไม่ดีขึ้น อยากตั้งคำถามว่า เราปฏิรูปการศึกษาหรืออนุรักษ์นิยมการศึกษา

      “ระบบการศึกษาทำให้เด็กประมาณ 30-40% แข่งขันเอาเป็นเอาตาย แต่เด็กเกือบ 60% กลับถูกปล่อยทิ้งและอยู่นอกระบบโรงเรียน ซึ่งเมื่อบ้าผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (โอเน็ต) และการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ หรือ PISA  แต่ไม่สนใจคุณภาพเด็ก ทำให้เกิดปัญหาคุณแม่วัยใส เด็กแว้น เพราะโรงเรียนไม่สามารถคุ้มกันเด็ก ทำให้เด็กอยากหนีออกจากโซนนิ่งโรงเรียน เกิดช่องโหว่ทางการศึกษา เด็กกลายเป็นเหยื่อระบบโอเน็ตและ PISA ดังนั้น ถ้ายุบโอเน็ตได้ ควรยุบ  และควรเปลี่ยนปฏิรูปการศึกษาให้เป็นปฏิรูปการเรียนรู้ ไม่ใช่ปฏิรูปการติวเข้ม เป็นวิชามารทางการศึกษา ปฏิรูปผิดทาง ไม่พูดถึงเด็ก ไม่พูดถึงห้องเรียน พูดแต่เรื่องระบบโครงสร้าง วิทยฐานะ บุคลากรการศึกษาได้รับประโยชน์ แต่เด็กกลับได้รับประโยชน์น้อยที่สุด”ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว  

       ผลที่เกิดจากนโยบายบนลงล่าง และความไม่มั่นคงทางเสถียรภาพทางการเมือง  อีกทั้งรมว.ศธ.ก็เปลี่ยนแปลง การศึกษาถึงอยู่กับที่ เหมือนเดิม และแย่ลง รศ.ดร.สมพงษ์ กล่าวต่อไปว่า ภาพรวมการทำงานของ 3 ปี 3 รมว.ศธ. สอบตก ไม่ผ่านได้ 3 คะแนนจาก 10 คะแนน เนื่องจากระบบปฏิรูปเดิมปี 2542 ยังเดินหน้าต่อไป แก้ไม่ครบ เดินย่ำวน ขณะที่การกระจายอำนาจ เป็นแบบวาหกรรม สับสน นายหลายฝ่าย  หลักสูตรไม่เปลี่ยน เพิ่มวิชาชั่วโมงมากขึ้น  ซึ่งต้องให้อิสระโรงเรียนในการคิด 

      “สั่งให้สทศ. สมศ.เพลาๆ ในเรื่องการประเมินหรือไม่ก็ยุบไปเลย   กฎหมายสำคัญๆ ก็ไม่ออก ส่วนใหญ่ยังเป็นรายงานปฏิรูปเชิงเอกสาร ผลสัมฤทธิ์ ตกทุกระดับ ส่วนเงินเดือนค่าตอบแทน สูง70-80% รวมทั้งยังมีปัญหารายวัน และยังโดนใช้ มาตรา 44 มากที่สุด ทั้งเรื่องทุจริต คอรัปชั่น โดยเฉพาะส่วนของอุดมศึกษาในเรื่องการไม่มีธรรมาภิบาล ซึ่งขณะนี้โดนไปแล้ว 16 ครั้ง และถ้าอยู่ต่อไปคงจะโดนถึง 50 ครั้ง บ่งบอกให้เห็นว่าปัญหาในกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)ไม่สามารถแก้ไขได้”

     สุทธิ สายสุนีย์ ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลสตูล กล่าวว่า การจัดการศึกษาต้องให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม โดยจัดเป็นผ้าป่าการศึกษา  เช่น ในส่วนของโรงเรียนอนุบาลสตูล จะจัดการศึกษา ร้อยละ 30  เด็ก ร้อยละ 30  และภาคสังคม อีก ร้อยละ  40 เป็นต้น

     สุทธิ สายสุนีย์

   ทั้งนี้ ในพ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ปี 2542 มาตรา 23 กำหนดว่า การจัดการศึกษาทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยต้องเน้นความสำคัญทั้งความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้ และบูรณาการตามความเหมาะสมของแต่ละระดับการศึกษา

      ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี เดินมาถูกทาง แต่ในทางปฏิบัติแล้วการจัดการศึกษายังคงเน้นไปที่คะแนน โดยไม่ได้พูดถึงจิตใจของเด็กตามมาตรา ดังกล่าว จึงทำให้เด็กไทยขาดคุณธรรมในจิตใจ

 พชรพรรษ์ ประจวบลาภ

     ทิ้งท้ายด้วย ความคิดเห็นจากตัวแทนนักเรียน/นักศึกษา พชรพรรษ์ ประจวบลาภ ประธานเครือข่ายยุวทัศน์  กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า นโยบายของศธ.มีจำนวนมากจนจับต้องไม่ได้ คำตอบเห็นได้ชัดเจนจากการที่ภาคเอกชนมาเปิดสถาบันการศึกษาเองมากขึ้น เพราะไม่อยากรอรัฐบาล  หาก รอศธ.พัฒนาการจัดการศึกษา ไดโนเสาร์ก็คงกลับมาเกิดใหม่ 

      ทั้งนี้ การปฏิรูปการศึกษา นอกจากให้เด็กเป็นศูนย์กลางแล้ว ต้องให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมด้วย โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนที่เป็นผู้รับกรรมจากระบบการศึกษาดังกล่าว

         รศ.ดร.ศิริเดช สุชีวะ

   รศ.ดร.ศิริเดช สุชีวะ คณบดีคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ เปิดเผยว่า คณะครุศาสตร์ ได้ติดตามสถานการณ์การศึกษา จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 1,177 คน อายุเฉลี่ยประมาณ 50-60 ปี โดยสำรวจถึงการรับรู้การเปลี่ยนแปลงการปฏิรูปการศึกษา 4 มิติ

        ดังนี้ มิติที่1 ด้านห้องเรียนและนักเรียน/นักศึกษา พบว่า ร้อยละ 51 รับรู้ว่า โครงสร้างพื้นฐาน สภาพห้องเรียน อุปกรณ์การศึกษาและสิ่งอำนวยความสะดวกดีขึ้น แต่ในส่วนของพฤติกรรมการเรียนของนักเรียน/นักศึกษา พบว่า ร้อยละ 66 เห็นว่า พฤติกรรมการเรียนของนักเรียน/นักศึกษาด้อยลง

       มิติที่ 2 ด้านครู พบว่า คุณภาพการสอนของครู ร้อยละ 42 ดีขึ้น และร้อยละ 38 รับรู้ว่าเหมือนเดิม ส่วนพฤติกรรมการทำงานของครู ร้อยละ 37 ดีขึ้น และร้อยละ 37 รับรู้ว่าเหมือนเดิม

      มิติที่ 3 ด้านผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า พฤติกรรมการบริหาร ร้อยละ 40 รับรู้ว่าเหมือนเดิมและร้อยละ 33 ดีขึ้น ส่วนคุณภาพการบริหารโรงเรียน ร้อยละ 37 มีคุณภาพเท่าเดิม และร้อยละ 37 ดีขึ้น

       มิติที่ 4 การจัดการเชิงนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) พบว่าการทุจริตคอรัปชั่น ร้อยละ 45 รับรู้ว่าเหมือนเดิม ร้อยละ 24 ดีขึ้น คุณภาพการบริหารงานของศธ.ร้อยละ 46 ด้อยลง และร้อยละ 33 เท่าเดิม

        0 ชุลีพร อร่ามเนตร 0 [email protected] 0