Lifestyle

ส่งออก...“อสุจิ” 

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เมื่อส่ง"อสุจิ"ข้ามชาติมีจริง เส้นทางจะเป็นอย่างไร "คมชัดลึก"พร้อมแกะรอย...0 ทีมข่าวสาธารณสุข 0

     เมื่อผลการตรวจยืนยันจากรพ.ขอนแก่นระบุว่าสิ่งที่บรรจุอยู่ในหลอดภายในถังไนโตรเจนยึดได้จากชายไทยที่ด่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาวจ.หนองคาย ซึ่งเตรียมนำออกไปยังฝั่งสปป.ลาว ทั้งหมด 6 หลอดเป็นอสุจิ นั่นย่อมยืนยันได้ว่ามีขบวนการส่ง“อสุจิข้ามชาติ”จริง!!!

     ยิ่งหากพิสูจน์ดีเอ็นเอแล้วว่าเป็นของมนุษย์ ย่อมมีความผิดแน่ เพราะตามหมวด 5 มาตรา   41 ห้ามมิให้ผู้ใดซื้อ เสนอซื้อ ขาย นำเข้า หรือส่งออกซึ่งอสุจิ ไข่ หรือตัวอ่อน ผู้ฝ่าฝืนต้องระวางโทาจำคุก ไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งคำถามต่อมา มีการซื้อขายเกิดขึ้นด้วยหรือไม่?

    “คม ชัด ลึก”แกะรอยจากคำให้การของผู้ที่ถูกจับกุม ประกอบกับข้อแถลงของคลินิกรักษาผู้มีบุตรยากในประเทศไทยแห่งหนึ่งที่ออกมายอมรับว่า 2 ใน 6 หลอดเป็นอสุจิที่รับจากคลินิกแห่งนี้ไปจริง โดยมีการตรวจสอบจนแน่ใจว่าผู้ที่เบิกไปนั้นเป็นเจ้าของอสุจิจริง แต่ไม่เกี่ยวข้องกับการขนส่งอสุจิหลังจากเบิกและไม่ทราบว่าจะเบิกไปที่ไหน ทำให้พอจะเห็นภาพเส้นทางของการนำอสุจิข้ามแดน 

ส่งออก...“อสุจิ” 

      จุดเริ่มต้นเกิดจากมีผู้มาเข้ารับคำปรึกษาที่เป็นได้ทั้งชาวไทยและต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นอาเซียน เอเชีย หรือแอฟฟริกาใต้ที่คลินิกผู้มีบุตรยากในประเทศไทย ซึ่งตามข้อมูลของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส.)กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) มีคลินิกที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องกว่า 70 แห่ง หลังจากรับคำปรึกษาคนไข้สามารถแจ้งความประสงค์เพื่อขอเก็บอสุจิไว้ใช้ได้ จนวันหนึ่งหากไม่ต้องการที่จะรับบริการจากคลินิกที่เก็บอสุจิไว้ ก็สามารถมาเบิกอสุจิออกไปได้ โดยอาจจะมารับด้วยตัวเจ้าของอสุจิหรือมอบฉันทะให้ผู้แทนมารับก็ได้

      นายศรายุธ อัสสมกร กรรมการผู้จัดการ ศูนย์ซูพีเรีย เอ.อาร์.ที บอกว่า 2 ใน 6 หลอดที่บรรจุในถังไนโตรเจนที่จ.หนองคายเป็นอสุจิที่มีการมาเบิกจากศูนย์ซูพีเรียฯ ในวันที่ 17 และ 19 เมษายน 2560 โดยเป็นของคนจีนและเวียดนาม แต่มารับโดยผู้แทนที่ได้รับการมอบอำนาจ ซึ่งศูนย์ฯมีการตรวจสอบเอกสารอย่างชัดเจนจนมั่นใจว่าเป็นผู้แทนเจ้าของอสุจิจริง แต่ไม่ทราบว่าเมื่อรับไปแล้วมีการเคลื่อนย้ายหรือขนส่งอย่างไรและมีปลายทางที่ไหน เพราะคนไข้ระบุเพียงต้องการไปรับบริการที่คลินิกอื่น และถังไนโตรเจนที่ตรวจยึดได้นั้นไม่ใช่ของศูนย์แห่งนี้ 

     นั่นย่อมแปลว่า หลังเบิกอสุจิออกไปจากคลินิกแห่งนี้แล้ว จะต้องมีนำหลอดอสุจิไปบรรจุลงถังไนโตรเจน ซึ่งอาจดำเนินการโดยนายยู บุคคลที่ผู้ที่ถูกจับกุมกล่าวอ้างถึง แล้วนายยูคือใคร เป็นเจ้าของอสุจิหรือไม่ หรือเป็นผู้รับมอบอำนาจจากเจ้าของอสุจิหรือไม่ หรือเป็นนายหน้าในการนำส่งอสุจิข้ามชาติหรือไม่ เหล่านี้ล้วนยังเป็นคำถามที่รอการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งสิ้น

     รวมถึง ประเด็นสำคัญที่ว่าการส่งอสุจิข้ามชาตินี้ เป็นการซื้อ ขาย หรือไม่!!!!

ส่งออก...“อสุจิ” 

    ที่แน่ๆ ปลายทางของการนำส่งอสุจิไม่ได้มีเพียงฝั่งลาวเท่านั้น เพราะจากคำให้การของผู้ที่ถูกจับกุม ระบุว่า รับจ้างนายยู ลูกครึ่งไทยญี่ปุ่น ไม่ทราบชื่อและนามสกุลจริง ให้มารับถังไนโตนเจนที่มีการบรรจุอสุจิ ไข่ และตัวอ่อนแช่แข็ง สลับสับเปลี่ยนกันไปที่คลินิก 4 แห่งในกรุงเทพฯ แล้วนำข้ามไปยังนครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว ไปยังคลินิกแห่งหนึ่ง ตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา รวม 12 ครั้ง และนำไปยังกรุงพนมเปญ กัมพูชา ทางด่านอรัญประเทศ ไปโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง และคลินิกไม่ทราบชื่อ ในปี 2559 รวม 13 ครั้ง แต่ละครั้งจะได้ค่าจ้าง 5,000 บาท

    อีกทั้ง ข้อมูลจากกรรมการคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ท่านหนึ่ง บอกว่า มีคลินิกในประเทศไทยบางแห่งไปร่วมลงทุนกับคลินิกรักษาผู้มีบุตรยากในต่างประเทศด้วย โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว      

    อย่างไรก็ตาม จากการที่ “คม ชัด ลึก”ได้พูดคุยกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน ต่างให้ข้อมูลในทำนองเดียวกันว่า ขั้นตอนของการผสมไข่กับอสุจิก่อนกลายเป็นตัวอ่อนนั้น ต้องดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเท่านั้น ซึ่งในประเทศเพื่อนบ้านอาจจะยังไม่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้หรือเทคโนโลยีทางการแพทย์อาจยังไม่สามารถทำได้ แต่หากเป็นขั้นตอนของการฝังตัวอ่อนเข้ามดลูก แม้ไม่ใช่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านก็สามารถทำได้!!! 

     “ก็มีความเป็นไปได้ว่าเมื่อประเทศไทยมีกฎหมายที่เข้มงวดในการคุ้มครองเด็กที่เกิดจากเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ รวมถึง การอุ้มบุญ ก็ทำให้มีการเบี่ยงเป้าหมายไปทำในประเทศอื่นแทน เพราะเท่าที่ทราบประเทสเพื่อนบ้านยังไม่มีกฎหมายควบคุมในส่วนนี้”นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร รองอธิบดีสบส.กล่าว

0 ทีมข่าวสาธารณสุข 0

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ