ไลฟ์สไตล์

ม.รังสิตอบรมครูแนะแนวแลกเปลี่ยน เรียนรู้ สู่เด็กเจน แซด

ม.รังสิตอบรมครูแนะแนวแลกเปลี่ยน เรียนรู้ สู่เด็กเจน แซด

12 ก.ค. 2559

ม.รังสิตอบรมครูแนะแนวแลกเปลี่ยน เรียนรู้ สู่เด็กเจน แซด : เยี่ยมสถานศึกษา โดยนิรชา  ทูลประสิทธิ์ และ วรเมธ เผ่าวิจารณ์

          "โครงการแนะแนวสัมพันธ์ จัดมานานมากแล้วตั้งแต่ปี 2543 เป็นการรวมครูแนะแนวเพื่อเปิดโลกทัศน์ให้แก่ครูแนะแนว การทำกิจกรรมร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยและครูแนะแนวทั่วประเทศ อาจารย์แต่ละโรงเรียนจะได้รู้จักกันมากขึ้น แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์กัน ปรึกษาให้คำแนะนำกัน และในปีนี้เราจัดสัมมนาในหัวข้อเด็กเจนแซด เพื่อเปิดโลกทัศน์ให้อาจารย์ได้รู้ว่าเด็กสมัยนี้ก้าวไกลไปถึงไหนแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กที่ไฮเทคโนโลยีแล้วเราจะต้องทำอย่างไรเพื่อรับมือและทำความเข้าใจกับเด็กสมัยนี้ให้มันและเพื่อเปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้น” อาจารย์ศศวรรณ รื่นเริง ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายแนะแนวและรับนักศึกษา มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวในงานสัมมนาอาจารย์แนะแนวทั่วประเทศหัวข้อ “การศึกษาไทย ยุทธศาสตร์ และความต้องการของประเทศ” ณ โรงแรมดุสิตธานี พัทยา จ.ชลบุรี เมื่อเร็วๆ นี้

          ดร.อาทิตย์  อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า การศึกษาของเด็กไทยในอนาคตที่นำเอาค่านิยมของต่างชาติเข้ามาเป็นหลักจนทำให้เกิดการขาดสายอาชีพในกิจการที่ต้องการพยายามขยายอุตสาหกรรมในประเทศ ทั้งๆ ที่ต่างชาตินั้นต้องการเกษตรมากกว่า ในส่วนนี้ทำให้เห็นถึงค่านิยมที่ไม่ถูกต้อง จำเป็นต่อการแก้ไข ทั้งยังชี้ให้เห็นถึงวิธีการที่จะสร้างความก้าวหน้าโดยการสร้างจุดเด่นให้กับสินค้าภายในประเทศแทนที่จะไปนำเข้า นำสินค้ามาดัดแปลงให้เป็นของตนเองเพื่อทำมูลค่าเพิ่มขึ้น

          “ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรามีอยู่ ความเป็นไทย ภูมิปัญญาไทย ทรัพยากรทุกอย่างของไทย เป็นสิ่งที่มีค่า เป็นสิ่งที่คนทั่วโลกค้นหา เป็นสิ่งที่ควรต่อยอดให้มันเจริญขึ้นไป ไม่ใช่ในลักษณะขายกิน ซึ่งมันเป็นการคิดสั้นทั้งนั้นเลย การสร้างเศรษฐกิจและชีวิตด้วยปัจจัยที่ไม่ยั้งยืนเป็นแนวทางที่ไม่ถูกต้อง ส่งผลให้เราได้รับตอบแทนกลับมานั้นมันไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไป หากเป็นเช่นนั้นต่อไปประเทศไทยก็ย่อมหมดค่า” ดร.อาทิตย์ กล่าว 

          “อ.สุวัชชัย แก้วทรัพย์ศักดิ์” นักโปรแกรมจิตใต้สำนึกและการบำบัด “แนะแนวยุค เจนแซด” ว่าเด็กเจนแซด หรือเด็กรุ่นปัจจุบันที่กำลังเรียน ม.ปลาย เตรียมเข้ามหาวิทยาลัย มือถือคืออวัยวะส่วนหนึ่ง ไวไฟ คือสิ่งสำคัญในชีวิต ดิจิทัล คือ ดีเอ็นเอ โลกเร็ว ฉันเร็ว ชอบที่จะประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว เด็กรุ่นนี้ พ่อแม่ต้องออกไปทำงานทั้งคู่ ได้รับการเลี้ยงดูจากคนอื่นมากกว่าพ่อแม่ของตัวเอง ไม่ค่อยพูดคุยแต่สื่อสารผ่านข้อความทางมือถือหรือคอมพิวเตอร์แทน ไม่ชอบเป็นลูกจ้างใคร มีความต้องการเป็นเจ้าของกิจการขนาดเล็กมีความเป็นอิสระเป็นตัวของตัวเองไม่ชอบเหมือนใคร ไม่อยากให้ใครเหมือน ต้องการให้คนอื่นมาสนใจและคอมเมนท์ตัวเอง ต้องการให้คนอื่นรับฟัง เพราะเขารู้สึกว่าตัวเองคือคนพิเศษเสมอเหมือนอย่างเน็ตไอดอล ต้องการให้คนอื่นเคารพความคิด และการตัดสินใจของเขามีความอดทนต่ำ ขี้เบื่อ 

          "ครูต้องไม่สอน แต่ต้องออกแบบการเรียนรู้ และอำนวยความสะดวก เปลี่ยนตัวเองให้เป็นโค้ชมีหน้าที่ดึงศักยภาพของเด็กออกมาให้ได้ การเรียนรู้ ให้นักเรียนเรียนจากการลงมือทำ ปฏิบัติ หรือกิจกรรมประเภทอื่นๆ ผ่านการตั้งสโมสร ชมรม ทำให้เด็กเติบโตไปพร้อมกับวิชาการ ต้องเรียนวิชาคน และจะต้องมีวิชาเกินทุกอย่างที่เกินออกมาจากวิชาการล้วนมีบทบาทสำคัญ เด็กรุ่นนี้ถนัดอยู่ในโลกส่วนตัวมีโลกเสมือนเป็นของตัวเอง โรงเรียนจึงเป็นพื้นที่ในไม่กี่ที่ที่จะเปิดโอกาสให้เขาได้คุยกับคนอื่น ครูควรออกแบบการเรียนรู้ให้ได้ทำงานร่วมกันจะช่วยให้เขาเข้าสังคมได้” อ.สุวัชชัย กล่าว

          “อาจารย์สมจิตร  สุทธินันท์” อาจารย์แนะแนว ร.ร.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม หนึ่งในอาจารย์แนะแนว ที่ได้ร่วมโครงการ กล่าวว่าเป็นกิจกรรมที่สร้างสรรค์และพัฒนาครู ให้ทันกับโลกในปัจจุบัน ปัจจุบันอาจารย์แนะแนวก็มีหลายยุคมียุคแก่ ยุคปานกลาง และยุคเด็กที่เพิ่งบรรจุใหม่ๆ พออาจารย์แต่ละยุคมาเจอกันก็จะได้มีการสร้างสัมพันธ์กันและได้แลกเปลี่ยนความรู้กัน อย่างน้อยที่สุดจะรู้ว่าการทำงานของแต่ละโรงเรียนเป็นยังไง และเป็นสิ่งที่ดีมากที่ให้ครูได้มาแลกเปลี่ยนความรู้กัน ได้ประสบการณ์และวิธีช่วยเหลือและให้คำปรึกษากับเด็กได้

          “อยู่กับเด็กมา 3,000 คน เด็กสมัยนี้ไม่คุยด้วยภาษาพูดแต่จะคุยด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ ภาษาแชท อยู่ใกล้ๆ กันก็ไม่คุยกัน เป็นยุคที่ถือว่ามีโลกส่วนตัวสูง ครูต้องคอยสังเกตว่าเด็กในกลุ่มนี้มีปัญหาอะไร เด็กกลุ่มนี้มีปัญหาเรื่องการเงินนะ เด็กกลุ่มนี้ติดเกมนะ เด็กกลุ่มนี้เล่นโทรศัพท์ตลอดเวลา จะช่วยเหลือด้วยการหากิจกรรมให้เด็กทำตามสิ่งที่เขาต้องการ เด็กสมัยนี้ขาดการพูดคุย เราต้องหาวิธีการที่จะพยายามทำกิจกรรมร่วมกับเขา การมองเด็กไม่โทษเด็กฝ่ายเดียว แต่ต้องโทษสังคมโดยองค์รวมมันเป็นผลที่กระทบกันมาเรื่อยๆ เราก็จะได้หาวิธีการที่จะคุยกับเด็กได้และได้ใกล้ชิดและรู้ปัญหาเขามากขึ้น” อาจารย์สมจิตร กล่าวทิ้งท้่าย