
ปิดเมืองสู้ไวรัสซิกา
ปิดเมืองสู้ไวรัสซิกา : ทีมข่าวรายงานพิเศษ
“ไวรัสซิกา” กลับมาเป็นประเด็นใหญ่อีกครั้ง หลัง “ไต้หวัน” ส่งข่าวออกไปทั่วโลกว่า ตรวจพบคนไทยติดไข้หวัดซิการะหว่างกำลังเดินทางเข้าประเทศ และเป็นผู้ที่มาจากพื้นที่อำเภอเดียวกับชายไทยที่สนามบินของไต้หวันเคยตรวจพบเมื่อเดือนมกราคม 2559 ที่ผ่านมาด้วย
อ.สร้างคอม จ.อุดรธานี แหล่งที่อยู่อาศัยของคนไทยผู้ติดเชื้อไวรัสซิกาทั้ง 2 ราย เมื่อรัฐบาลไต้หวันแจ้งมา กระทรวงสาธารณสุขจึงร่อนจดหมายไปยังหน่วยงานสาธารณสุขบริเวณนั้น ให้ช่วยกันเฝ้าระวังอย่างเร่งด่วน!
เนื่องจากเป็นเชื้อไวรัสที่ “องค์การอนามัยโลก” กำลังกุมขมับ เพราะระบาดหนักในแถบละตินอเมริกาอย่างไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน ที่สำคัญคือ ในประเทศบราซิลพบเด็กหัวเล็กเกิดจากแม่ผู้เคยติดไวรัสซิกา และจากพื้นที่ระบาดเพียง 14 ประเทศ ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2558 ผ่านไปเพียง 1 ปี ตอนนี้ระบาดไปถึง 64 ประเทศแล้ว
เพื่อควบคุมไปไม่ให้เชื้อนี้แพร่เข้ามาในพื้นที่ของตัวเอง วันที่ 24 พฤษภาคม 2559 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสร้างนางขาว อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย ที่มีพื้นที่ติดกับ อ.สร้างคอม จ.อุดรธานี ออกหนังสือแจ้งเตือนส่งไปยังเจ้าหน้าที่อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ให้เฝ้าระวังสถานการณ์และช่วยกันทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายภายในหมู่บ้าน โดยสรุปเนื้อหาในประกาศแจ้งเตือนได้ว่า
“ห้ามประชาชนในเขตรับผิดชอบเดินทางไปยังพื้นที่ อ.สร้างคอม โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์ ห้ามเดินทางไปยังพื้นที่เกิดโรคเป็นอันขาด เพราะถ้าได้รับเชื้อจะทำให้ทารกในครรภ์พิการได้”
นอกจากนี้กระทรวงสาธารณสุขยังตรวจเลือดและปัสสาวะหญิงตั้งท้อง 103 คน ใน อ.สร้างคอม พบหญิงตั้งท้อง 2 คน ติดเชื้อไวรัสซิกา แต่จากตรวจทารกในครรภ์ไม่พบความผิดปกติ แต่ต้องเฝ้าระวังตรวจต่อเนื่องทุกเดือนจนกว่าจะคลอด
การขอความร่วมมือห้ามเดินทางไปยังพื้นที่พบผู้ป่วยไวรัสซิกา กลายเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันว่า จะได้ผลควบคุมการแพร่กระจายไวรัสซิกา หรือเป็นการป้องกันเกินความจำเป็นหรือไม่ ?
ทีมข่าว “คม ชัด ลึก” สอบถามความคิดเห็นไปยังแพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสและด้านระบาดวิทยา ปรากฏว่ามีความเห็น แยกเป็น 2 ฝ่าย คือ
“ฝ่ายสนับสนุนการควบคุมพื้นที่” เนื่องจากไวรัสซิกาตัวร้ายนี้ ตรวจพบได้ยาก ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ 75 ไม่มีอาการป่วย เป็นเพียงพาหะนำเชื้อ หากมียุงลายมากัดแล้วไปกัดผู้อื่นต่อ ผู้นั้นอาจป่วยโรคไข้ซิกาได้ถ้าสภาวะร่างกายอ่อนแอหรือไม่มีภูมิคุ้มกัน การแพร่ระบาดครั้งนี้เป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยนักวิทยาศาสตร์ยังหาสาเหตุไม่ได้ว่า ทำไมมีผู้ป่วยจำนวนมากในหลายประเทศอย่างที่ไม่เคยมีบันทึกมาก่อน
โดยเฉพาะที่บราซิล ต้นเดือนมกราคม-เมษายน 2559 พบผู้ป่วยโรคซิกาแล้วเกือบ 1 แสนราย ส่วนปีที่ 2558 เชื่อว่ามีผู้ติดเชื้อเกือบ 1 ล้านราย และยังพบรายงานจำนวนเด็กหัวเล็กหรือทารกแรกเกิดคลอดออกมาจากมารดาที่ป่วยเป็นโรคซิการะหว่างตั้งครรภ์สูงเกือบ 4,000 ราย ทั้งที่ก่อนหน้านี้บราซิลพบเพียงปีละไม่ถึง 200 ราย จึงมีการเตือนไปทั่วโลกว่า ไวรัสซิกาอาจทำให้ทารกแรกเกิดเป็น “โรคศีรษะเล็กกว่าปกติ” หรือ “ไมโครเซฟาลี” (Microcephaly) อาการเบื้องต้นคือ กล้ามเนื้อเด็กอ่อนแรง การเจริญเติบโตผิดปกติ ทำให้ร่างกายแคระแกร็น พัฒนาช้าการทำงานของสมองผิดปกติ อย่างไรก็ตาม มีรายงานยืนยันว่า ทารกในบราซิลศีรษะเล็กเพราะผลจากแม่ติดเชื้อไวรัสซิกาจำนวน 1,300 ราย ส่วนเด็กที่เหลืออีก 2,000 รายยังไม่ยืนยันว่าสาเหตุมาจากไวรัสซิกาหรือไม่
การเสนอให้ควบคุมพื้นที่พบเชื้อตัวนี้ไม่ได้มีแต่ในประเทศไทยเท่านั้น เพราะเมื่อ 28 พฤษภาคม ที่ผ่านมา เครือข่ายนักวิชาการแพทย์และสาธารณสุขเกือบ 200 รายทั่วโลก เช่น อังกฤษ อเมริกา แคนาดา ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น บราซิล ฯลฯ ร่วมลงนามส่งเป็นจดหมายเปิดผนึกถึง “มากาเร็ต ชาน” ผอ.องค์การอนามัยโลก ขอให้เลื่อนหรือยกเลิกการจัดแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่ประเทศบราซิล ที่กำลังจะมีขึ้นช่วงต้นเดือนสิงหาคม–กันยายน 2559 เพราะมีความเสี่ยงสูงที่เชื้อไวรัสซิกาอาจแพร่ระบาดไปติดนักกีฬาและนักท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่าจะมาร่วมไม่ต่ำกว่า 5 แสนคน หากนักท่องเที่ยงเหล่านี้ได้รับไวรัสซิกาอาจนำกลับไปแพร่เชื้อที่ถิ่นฐานตัวเองได้
แต่กระทรวงสาธารณสุขบราซิลและฝ่ายจัดแข่งขันโอลิมปิก ยังไม่ตอบรับเสียงเตือนเหล่านี้ พร้อมยืนยันเดินหน้าจัดต่อไปและกำลังดำเนินการตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกในการควบคุมแหล่งกำเนิดของยุงลายอย่างเร่งด่วนแล้ว
ส่วน “ฝ่ายไม่เห็นด้วย” มีความคิดเห็นว่า ประเทศในแถบเขตร้อนชื้นพบยุงลายอาศัยอยู่ทั่วไป ดังนั้นการควบคุมไม่ให้คนเดินทางไม่ได้หมายความว่าจะควบคุมเชื้อไวรัสได้ทั้งหมด ส่วนพื้นที่ไม่มีรายงานการพบผู้ป่วยโรคไข้ซิกาก็ไม่ได้หมายว่าไม่มีเชื้อตัวนี้ในท้องถิ่น เพียงแต่เชื้อจากผู้ป่วยไม่ได้ถูกนำไปตรวจหรือตรวจแล้วอาจไม่เจอก็ได้ หรือเพราะระบบเฝ้าระวังไม่ดีพอ ทั้งนี้ผู้เป็นพาหะนำโรคมีระยะฟักตัวเฉลี่ย 4-7 วัน อาการผู้ป่วยมีไข้ ออกผื่น ตาแดง ปวดข้อ ข้อบวม อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ วิธีการที่ดีสุดคือ หญิงตั้งครรภ์ต้องพยายามไม่ให้ถูกยุงกัด ไม่ว่าอาศัยอยู่บริเวณใดก็ตามเพื่อความปลอดภัย
จากข้อมูลประเทศไทยมีรายงานตรวจพบผู้ติดเชื้อไวรัสซิกาเป็นระยะ เช่น มีนาคม 2555 พบที่ราชบุรี ส่วนปี 2556 พบที่ กทม. ภูเก็ต ลำพูน ศรีสะเกษ และกระบี่ ล่าสุดกระทรวงสาธารณสุขรายงานพบใน 9 จังหวัด โดย 7 จังหวัดควบคุมได้แล้ว คือ นนทบุรี นครราชสีมา พิษณุโลก สุโขทัย กทม. อุตรดิตถ์ และกาญจนบุรี ส่วนอีก 2 จังหวัดคือ อุดรธานี และบึงกาฬ อยู่ในช่วงเฝ้าระวังอีกประมาณ 30 วัน
ที่สำคัญคือ ประเทศไทยกำลังย่างเข้าสู่ช่วงหน้าฝน ถือเป็นช่วงยุงลายระบาดหนักสุดในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะภาคใต้ กระทรวงสาธารณสุขรายงานสถิติที่ผ่านมาว่า คนไทยติดเชื้อ "ไข้เลือดออก” จากยุงลายปีละประมาณ 5 หมื่น-1 แสนคน ปี 2530 เป็นปีระบาดหนักสุดพบผู้ป่วย 1.74 แสนคน เสียชีวิต 1,007 คน สำหรับสถิติ 2558 พบผู้ป่วย 1.02 แสนคน เสียชีวิต 102 คน ส่วนปี 2559 คาดว่ามีผู้ป่วยประมาณ 1.5 แสนราย และช่วงเดือนมิถุนายน–สิงหาคม เป็นช่วงเฝ้าระวัง เพราะทุกปีพบผู้ป่วยในช่วงหน้าฝนสูงกว่าช่วงฤดูอื่น
นพ.นิพนธ์ ชินานนท์เวช ผอ.สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง ให้ข้อมูลว่าไวรัสซิกาแพร่เชื้อโดย “ยุงลาย” อีเดส อีจิปไต (Aedes aegypti) หากยุงลายไปกัดคนป่วยไข้ซิกาก็จะนำเชื้อไปส่งต่อให้คนอื่น การพบผู้ป่วยแล้วดูแลไม่ให้ถูกยุงกัดเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะหยุดการเป็นพาหะแพร่เชื้อต่อ ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ว่า ทำไมที่บราซิลแพร่ระบาดหนัก และทารกเกิดมาหัวเล็ก ตามรายงานก็ยังเป็นยุงสายพันธ์ุเดิม ไม่ได้เป็นยุงกลายพันธ์ุหรือสายพันธ์ุใหม่
“โรคไข้ซิกาไม่ถือเป็นโรคอุบัติใหม่ เพราะพบมานานหลายสิบปีแล้ว แต่ก็ไม่ใช่โรคระบาดด้วย เพราะพบผู้ป่วยไม่กี่คน ที่ผ่านมาพยายามลงพื้นที่สุ่มตรวจหลายพื้นที่ทั่วไทย แต่ก็ไม่เจอเชื้อซิกาในยุง วิธีการคือ จับยุงหลายตัวมาบดแล้วเอาดีเอ็นเอไปตรวจ แต่ก็ไม่พบไวรัสซิกา ตอนนี้ทุกคนต้องร่วมมือกัน กำจัดแหล่งน้ำขัง เพื่อไม่ให้ยุงมาไข่ กองขยะเป็นจุดสำคัญต้องจัดเก็บทำความสะอาด ชุมชนต้องช่วยกันไม่ไห้มีแอ่งน้ำหรือภาชนะที่มีน้ำขัง และวิธีรดน้ำต้นไม้ที่ถูกต้องคือ รดที่พื้นดินตรงรากต้นไม้ ไม่ต้องรดที่ใบไม้ให้น้ำกระจายไปทั่วโดยไม่จำเป็น” นพ.นิพนธ์ แนะนำ
สำหรับมาตรการส่งตัวนักกีฬาไทยไปโอลิมปิกนั้น นพ.อำนวย กาจีนะ อธิบดีกรมควบคุม ให้ข้อมูลสื่อมวลชนว่า มีทัพนักกีฬาไทยประมาณ 100 กว่าคน ไปร่วมแข่งขันที่บราซิล ต้องจัดให้มีมาตรการในการดูแลตัวเอง ทายากันยุง ป้องกันไม่ให้ยุงกัดด้วยวิธีการต่างๆ เมื่อกลับเข้าไทยต้องติดตามตรวจอย่างต่อเนื่องอีกสักระยะ โดยเฉพาะนักกีฬาผู้หญิง
ล่าสุด วันที่ 1 มิถุนายน 2559 องค์การอนามัยโลกประกาศคำแนะนำใหม่ มุ่งเน้นการควบคุมการแพร่เชื้อจาก “เพศสัมพันธ์” โดยแนะนำให้ผู้เดินทางกลับจากพื้นที่พบไวรัสซิกา ต้องรออย่างน้อย “2 เดือน” ก่อนจะตั้งครรภ์
แต่ถ้า “ผู้ชาย” แสดงอาการป่วยโรคไข้ซิกา ต้องรอ “6 เดือน” จึงมีเพศสัมพันธ์ได้ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้หญิงและทารกในท้องจะไม่ได้รับเชื้อไวรัสซิกาไปด้วย



