ไลฟ์สไตล์

‘ดร.ธนู’อุดรอยร้าว!!6เดือน‘เอแบค’พบแสงสว่าง

‘ดร.ธนู’อุดรอยร้าว!!6เดือน‘เอแบค’พบแสงสว่าง

07 มี.ค. 2559

‘ดร.ธนู’อุดรอยร้าว!!6เดือน‘เอแบค’พบแสงสว่าง : สัมภาษณ์พิเศษ โดยชุลีพร อร่ามเนตร เรื่อง ศูนย์ภาพเนชั่น

            “กลัดกระดุมเม็ดแรกผิด ที่เหลือก็ไม่ต้องพูดถึง เรื่องทุกเรื่อง ปัญหาทุกอย่าง ถ้าเริ่มต้นผิดก็เหมือนเดินอยู่ในอุโมงค์มืดมิด เมื่อผมได้รับการทาบทามจากคณะกรรมการควบคุมมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) ให้มารับตำแหน่งอธิการบดีเอแบค สิ่งแรกที่ผมทำคือ ขอเข้าพบกรรมการสภา ทั้ง 2 ฝ่าย โดยฝ่ายแรกได้เข้าพบ ภราดาวิริยะ ฉันทวโรดม (หลุยส์ ชาแนล) อธิการโรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก ซึ่งเป็นผู้ที่มีอาวุโสสูงสุดในกลุ่มของ ดร.สุทธิพร ปทุมเทวาภิบาล กรรมการสภาเสียงข้างมาก และกลุ่มของภราดา ดร.บัญชา แสงหิรัญ อดีตอธิการบดีเอแบค ในกลุ่มของกรรมการสภาเสียงข้างน้อย ซึ่งเมื่อเข้าไปพูดคุยพบว่าทั้ง 2 ฝ่ายต่างมีความหวังดีกับมหาวิทยาลัย แต่มีแนวคิดคนละมุมมองและไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ ซึ่งพอได้เห็นถึงปัญหา และการยอมรับจากสภาทั้ง 2 ฝ่าย ก็ย่อมพบแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” ดร.ธนู กุลชล ผู้ปฏิบัติหน้าที่อธิการบดีเอแบค เริ่มเล่าถึงจุดเริ่มต้นของการตัดสินใจจะมารับตำแหน่งอธิการบดี

            ยืดเยื้อข้ามเดือนข้ามปีความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในเอแบค และอย่างที่ทราบกันดีว่า ต้นเหตุแห่งความวุ่นวายไม่ใช่ใครที่ไหน ไม่ใช่เรื่องคุณภาพการจัดการศึกษา แต่เป็นเกาเหลาชามโตของระดับผู้บริหาร เหล่าสภามหาวิทยาลัยที่ฝัดกันนัว แบ่งฝักแบ่งฝ่าย พวกเราพวกท่าน ยื้อกันไปมาจนได้เรื่อง

            เมื่อ “พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ” ใช้ยาหอมเปิดโอกาสให้เจรจาก็ไม่นำพา จนต้องใช้ยาแรง หยิบมาตรา 86 (4) พ.ร.บ.สถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ.2546 กำหนดไว้ว่า ถ้ามหาวิทยาลัยเอกชนเกิดเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ จากทั้งหมด 4 สาเหตุ ซึ่งรวมถึงการที่สภามหาวิทยาลัย กรรมการสภามหาวิทยาลัย อธิการบดี คณาจารย์ หรือนักศึกษา ดำเนินการอันเป็นภัยร้ายแรงต่อความมั่นคงและความปลอดภัยต่อประเทศ ต่อวัฒนธรรมของชาติ ความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ซึ่งกรณีของมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญมีความรุนแรงเกิดขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อวัฒนธรรม ความสงบ และศีลธรรมอันดีของประชาชน

            แล้วใช้อำนาจตามมาตรา 86 วรรคสอง ตั้งกรรมการเข้าไปควบคุมสถาบันอุดมศึกษาแห่งนั้น ประกอบด้วยกรรมการไม่น้อยกว่า 5 คน แต่ไม่เกิน 15 คน จนได้คณะกรรมการควบคุมเอแบค ที่มี รศ.ดร.อานนท์ เที่ยงตรง เป็นประธาน และในฐานะนายกสภามหาวิทยาลัย โดยปัจจุบัน มี “ดร.ธนู” เป็นอธิการบดี แม่ทัพเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหา เคลื่อนพลเอแบคโกลาหลสู่ภาวะปกติให้เร็ววัน

            ดร.ธนู กล่าวถึงภารกิจว่า การเข้ามาเป็นอธิการบดีเอแบค ไม่ได้เข้ามาเพื่อเปลี่ยนแปลงการบริหาร หรือการจัดการศึกษาของมหาวิทยาลัย เพราะสิ่งเหล่านี้ผู้บริหารชุดเดิมๆ ของมหาวิทยาลัยทำไว้ได้ดีอยู่แล้ว แต่จะเข้ามาช่วยแก้ปมปัญหาที่เกิดขึ้น 3 เรื่องหลักๆ ดังนี้ 1.การบริหารงานของเอแบคให้สามารถดำเนินการได้ต่อไปตามปกติ โดยตั้งแต่เกิดความขัดแย้งของสภามหาวิทยาลัยทำให้ธนาคารไม่สามารถอนุมัติเงินในการดำเนินกิจการต่างๆ ของมหาวิทยาลัย เช่น การจ่ายเงินเดือนบุคลากร เพราะธนาคารไม่มั่นใจว่าใครเป็นผู้บริหาร และมีอำนาจในการอนุมัติเบิกจ่ายได้ และขณะนี้นได้แก้ปัญหาเหล่านี้เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ทุกกระบวนการทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น

            2.การดำเนินการให้ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างสภามหาวิทยาลัยชุดเก่าคลี่คลายและจบลงด้วยดี ซึ่งเรื่องนี้จะต้องมีการตั้งคณะกรรมการกลางเข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริง ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น ได้แก่ โครงการเครื่องบินฝึกจำลอง การเปลี่ยนแปลงมาตรฐานบัญชี การจัดทำงบดุล เรื่องการบริหารงานของเอแบคโพลล์ และเรื่องที่ดิน บริเวณรอบเอแบควิทยาเขตสุวรรณภูมิ โดยในการตั้งคณะกรรมการกลางนั้น คณะกรรมการควบคุมม.เอแบค จะเป็นผู้แต่งตั้ง ซึ่งขณะนี้ได้รายชื่ออนุกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงของ ม.เอแบค 3 ชุด โดยมีกรรมการควบคุมเป็นประธานคณะกรรมการ คือ ชุดที่ 1 การจัดซื้ออุปกรณ์โครงการเครื่องฝึกบินจำลองเสมือนจริง แบบแอร์บัส เอ320 (Flight Simulator) โดยมี ศ.บุญเจริญ ศิริเนาวกุล เป็นประธานคณะกรรมการสอบ ชุดที่ 2 เรื่อง การบริหารงานของเอแบคโพลล์ มีตนเป็นประธานคณะกรรมการ และชุดที่ 3 เรื่องการบริหารการจัดทำงบการเงินและทรัพย์สิน มี รศ.ศศิวิมล มีอำพล เป็นประธานคณะกรรมการสอบฯ

            “ตอนนี้ผมได้นำรายชื่อคณะอนุกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงทั้ง 3 ชุดไปให้ทางฝั่งของภราดาบัญชา แสงหิรัญ พิจารณาแล้ว ซึ่งทางฝั่งของภราดาบัญชายอมรับรายชื่อคณะกรรมการ ไม่ติดขัดอะไร ส่วนฝั่ง ดร.สุทธิพร ปทุมเทวาภิบาล ซึ่งมี ภราดาวิริยะ ฉันทวโรดม (หลุยส์ ชาแนล) ที่ถือเป็นผู้อาวุโสสูงสุด ก็ได้นัดจะเข้าไปพบและเสนอรายชื่อคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง วันที่ 1 มีนาคมนี้ ซึ่งหากฝั่งภราดาวิริยะยอมรับรายชื่อคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ก็จะแจ้งไปยังคณะกรรมการควบคุม ม.เอแบค และเดินหน้าสอบสวนข้อเท็จจริงได้ทันที โดยการที่นำรายชื่อคณะอนุกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงไปให้ทั้ง 2 ฝ่ายพิจารณานั้น เพื่อให้เกิดความเชื่อใจและเป็นที่ยอมรับ อีกทั้งเมื่อผลการตรวจสอบออกมาจะได้ไม่มีข้อโต้แย้งว่าไม่มีความเป็นกลาง ไม่โปร่งใส คาดว่าตามกรอบระยะเวลาภายใน 90 วัน น่าจะได้ผลการสอบสวนข้อเท็จจริงว่าเป็นเช่นใด”

            ภารกิจที่ 3 การพิจารณาปรับปรุง กฎระเบียบข้อบังคับต่างๆ ของมหาวิทยาลัยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยได้แต่งตั้งให้นายอภิมุข สุขประสิทธิ์ มาเป็นรองอธิการบดีฝ่ายกิจการพิเศษ ดูแลเรื่องนี้ เพราะนายอภิมุขเคยเป็นรองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย และเคยทำหน้าที่ฝ่ายกฎหมายที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา จึงมั่นใจได้ว่า การพิจารณาปรับปรุง กฎระเบียบข้อบังคับต่างๆ มีความสมบูรณ์ ชัดเจน เพื่อเป็นกรอบในการดำเนินการในอนาคตอย่างมั่นคง ไม่มีปัญหาการตีความทางข้อกฎหมายอย่างที่ผ่านมาอีก ขณะเดียวกัน ในการบริหารของตนนั้น หากมีเรื่องอะไรที่ต้องปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้มหาวิทยาลัยเกิดสิ่งดีในอนาคตก็จะดำเนินการต่อไป

            “ผมไม่หนักใจภารกิจใด เพราะเชื่อว่าทุกภารกิจจะต้องสามารถเดินหน้าไปได้ ไม่ติดขัด และหากเป็นไปตามการดำเนินการที่วางไว้ เชื่อว่าภายใน 6 เดือน น่าจะแก้ปัญหาได้ และผมแจ้งให้คณะกรรมการควบคุมม.เอแบคคืนอำนาจให้ผู้รับใบอนุญาตจัดตั้งต่อไป คงไม่รับทำหน้าที่อธิการบดีต่อ แต่หากมีปัญหาใหม่ๆ เกิดขึ้นก็จะพยายามแก้ไขให้ได้ดีที่สุด เพราะไม่อยากให้มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงเก่าแก่ อีกทั้งผมเป็นศิษย์เก่าอัสสัมชัญ คุ้นเคยกับบราเดอร์ทุกคน และทุกคนต่างก็หวังดีต่อมหาวิทยาลัยแห่งนี้ รวมถึงจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งม.เอแบค เป็นความต้องการของภราดาประทีป มาร์ติน โกมลมาศ หรือ บราเดอร์มาร์ติน อธิการบดีกิตติคุณ และผู้ก่อตั้ง ม.เอแบค เป็นกลุ่มนักบวชที่มีใจเมตตาต้องการช่วยพัฒนาคนให้มีคุณภาพ มีเจตนาที่ดีก็อยากจะรักษาสิ่งดีๆ อย่างนี้ให้คงอยู่กับเอแบค ตลอดไป”

            ตั้งแต่วันแรก (19 ก.พ.2559) ที่ “ดร.ธนู” เข้ามาทำงาน ในฐานะอธิการบดีเอแบค จวบจนวันนี้ ล้วนได้รับการช่วยเหลือจากสภามหาวิทยาลัยทั้ง 2 ฝ่าย ผู้บริหาร และบุคลากรของมหาวิทยาลัยเป็นอย่างดี ขณะเดียวกันก็ได้ช่วยอุดช่องโหว่ของปัญหา และทำหน้าที่ประสานรอยร้าว จูนสภามหาวิทยาลัยทั้ง 2 ฝ่าย

            ดร.ธนู กล่าวต่อว่า หลังจากเข้ามาทำงานก็ไม่ได้อึดอัดใจอะไร เพราะเราเห็นปัญหาและรู้วิธีแก้อยู่แล้ว ซึ่งคงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแต่ละคณะอนุกรรมการในการสอบสวนข้อเท็จจริง โดยส่วนตัวจะไม่เข้าไปก้าวก่าย และจะทำหน้าที่ของตัวเองในการเข้าไปเชื่อมสภามหาวิทยาลัยทั้ง 2 ฝ่าย รวมถึงการเข้าถึง การให้ และการรับฟังข้อมูลจากสภามหาวิทยาลัยทั้ง 2 ฝ่าย

            นอกเหนือจากภารกิจหลักที่วางไว้ “ดร.ธนู” จะทำหน้าที่สร้างความเข้าใจ ภาพลักษณ์ของเอแบคให้กลับคืนมา เนื่องจากที่ผ่านมา แม้จะไม่มีผลกระทบต่อนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้เกือบ 2 หมื่นคน หรืออาจารย์ บุคลากรทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ แต่เมื่อมีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นอาจส่งผลให้เกิดการสั่นคลอนเรื่องความปลอดภัย ความไม่มั่นใจว่าสถาบันแห่งนี้ยังดีเหมือนเก่าหรือไม่

            “ผมและผู้บริหารจะช่วยกันเรียกคืนความเชื่อมั่น ภาพลักษณ์การเป็นสถาบันอุดมศึกษาเอกชนที่มีชื่อเสียง มีความเก่าแก่ มีการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ มีความเป็นสากล และมีความปลอดภัยในการมาใช้ชีวิตในรั้วเอแบค เพราะขณะนี้ถึงจะไม่มีผลกระทบโดยตรงชัดเจน แต่พอเปิดรับสมัครนักศึกษาทำให้จำนวนการมาสมัครเรียนน้อยลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา จึงได้มีการประชาสัมพันธ์ทั้งภายในมหาวิทยาลัยและทางเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย เพื่อสร้างความมั่นใจว่า มหาวิทยาลัยแห่งนี้ยังคงเป็นมหาวิทยาลัยคุณภาพ และมีอธิการบดี ผู้บริหารชัดเจน ไม่ได้เกิดปัญหาภายใน หรือความวุ่นวายใดๆ เกิดขึ้นอีก”

            ความขัดแย้ง วุ่นวาย เกิดขึ้นที่ไหนไม่ว่าจะเล็กใหญ่ก็ล้วนสร้างความบรรลัยได้ทั้งสิ้น “ดร.ธนู” จะเร่งขจัดปัญหาให้เร็วที่สุด เพื่อมหาวิทยาลัยเอแบคกลับมาผงาด ขึ้นแท่นเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนอันดับต้นๆ ของประเทศเช่นเดิม

            อย่างไรก็ตาม จุดสิ้นสุดของการแก้ไขปัญหา เมื่อสะสางจนเสร็จสิ้น สุดท้ายต้องคืนอำนาจให้แก่ผู้ขอรับใบอนุญาตจัดตั้ง และก็ต้องเป็นไปตามอำนาจของผู้ขอรับใบอนุญาตจัดตั้ง ซึ่งในส่วนของ ม.เอแบค นั่นคือ มูลนิธิคณะเซนต์คาเบรียล เพราะมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นมหาวิทยาลัยเอกชน ผู้ขอรับใบอนุญาตจัดตั้งเป็นดั่งเจ้าของ ดังนั้นอนาคตเอแบคภายหลังความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในยุคนี้ คงต้องเป็นหน้าที่ของมูลนิธิคณะเซนต์คาเบรียลในการเข้ามาคัดเลือก สรรหา อธิการบดี นายกสภามหาวิทยาลัย สภามหาวิทยาลัย ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนของการเป็นผู้บริหารที่ดี มีประวัติที่ดีงาม และที่สำคัญมีหลักธรรมาภิบาลอันเกิดจากจิตสำนึกในการพัฒนา ขับเคลื่อนเอแบคให้เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนคุณภาพตลอดไป

            ดร.ธนู กุลชล ปัจจุบันอายุ 75 ปี เกิดเมื่อวันที่ 11 กันยายน พ.ศ.2484 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี บริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ระดับปริญญาโท สาขาการเงิน มหาวิทยาลัยแฟร์เลย์ ดิคกินสัน สหรัฐอเมริกา ระดับปริญญาเอก สาขาการศึกษาชั้นสูง มหาวิทยาลัยเซาเทิร์น อิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา และหลักสูตรผู้บริหารชั้นสูง มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา รวมทั้งหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐร่วมเอกชน จากวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (ปรอ. รุ่นที่ 2)

            ประวัติการทำงาน เป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยกรุงเทพ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2522 เป็นต้นมา เคยดำรงตำแหน่งนายกสมาคมสถาบันอุดมศึกษาแห่งประเทศไทย และอธิการบดีมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (เรียนและทำงานอยู่ที่ม.กรุงเทพ มาตลอด 30 ปีเต็ม) ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ในปี พ.ศ.2539 และได้รับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา ภาควิชาการ ในการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาไทย พ.ศ.2551 ต่อมาภายหลังวางมือในการเป็นนักบริหารด้านการศึกษา 9 ปี ได้กลับเข้าสู่การเป็นอธิการบดีเอแบค อีกครั้ง