ข่าว

สคล.ทวงความรับผิดชอบต่อสังคมจาก "ธุรกิจสุรา" จี้เลิกทำการโฆษณาอำพราง

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

สคล.ถามหาความรับผิดชอบต่อสังคมของ "ธุรกิจสุรา" และนโยบายแก้การผูกขาด มาถูกทางจริงหรือ จี้เลิกโฆษณาอำพราง แนะรัฐลดการผูกขาดบริษัทใหญ่

นายธีระ วัชรปราณี  ผู้จัดการสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) กล่าวว่า ต่อกรณีข่าว ไทยเบฟ  ประกาศกำไรจากธุรกิจในเครือฯ ปี 2565 กว่า 3 หมื่นล้านบาท และกำไรของผู้ประกอบการรายอื่น ได้แก่ บริษัทบุญรอดฯ บริษัทไทยเอเชียแปซิฟิก และผู้ผลิตอื่นที่เราไม่สามารถทราบได้เพราะไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์

 

 

กำไรขนาดนี้ ความรับผิดชอบของบริษัทไทยเบฟ และรายอื่นๆ คืออะไร? !! ความเป็นธรรมทางสังคม บกพร่องหรือไม่? นโยบายทางการเมืองเพื่อแก้ปัญหาการผูกขาด "ธุรกิจสุรา" มาถูกทางจริงหรือ 

รายได้จากการขายทุกประเภท รวม 272,531 ล้านบาท หักค่าใช้จ่ายต่างๆแล้ว มีเหลือ กำไร 34,505 ล้านบาท (ปีที่แล้วมี

  • กำไรสุทธิ 27,339 ล้านบาท กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 26.2% เป็น หรือ 7,166 ล้านบาท)
  • จำแนกรายได้มาจากไหนบ้าง?ธุรกิจเบียร์ทำรายได้สูงสุดด้วยมูลค่า 122,489 ล้านบาท  (44.94%)
  • ในขณะที่ธุรกิจเหล้ามีรายได้ 116,177 ล้านบาท  (42.62%)
  • ส่วนธุรกิจเครื่องดื่มน็อนแอลกอฮอล์ทำรายได้ 17,432 ล้านบาท (6.39%)
  • ด้านธุรกิจอาหารมีรายได้ 16,433 ล้านบาท (6.03%)

สคล. ทำงานรณรงค์แก้ปัญหาจาก เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มามากกว่า 10 ปี ได้ติดตามการดำเนินงานของ "ธุรกิจสุรา" และนโยบายทางการเมืองเพื่อจะได้รู้เขารู้เรา ประเมินสถานการณ์และเป็นปากเสียงให้กับผู้ได้รับผลกระทบนั้น ร่องรอยสำคัญที่หาได้ง่าย คือ ในรายงานผลประกอบการของ ไทยเบฟ ทำให้เราเห็นและมีคำถามต่อสิ่งที่ธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหมด ได้ประกาศต่อสาธารณะ กับความเป็นจริงที่เห็น

 

  • กรณีศึกษา ไทยเบฟ ที่จะหยิบยกมาอธิบายเพราะมีหลักฐานชัดเจน ไม่ได้มุ่งเป้ามาที่ไทยเบฟเพราะจงใจจะเขียนถึงแต่ไทยเบฟ 

 

เริ่มจากการประกาศนโยบายความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร  ไทยเบฟซึ่งอนุมัติเมื่อ 11 สิงหาคม 2559 มีหัวข้อหลักในการรับผิดชอบสังคม

ข้อที่ 1 คือ “ยึดมั่นว่าความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรเป็นหัวใจของธุรกิจของไทยเบฟ” ซึ่งไทยเบฟได้แสดงว่าจะแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นข้อที่หนึ่ง และในข้อย่อยต่างๆ ที่เป็นสาระสำคัญ คือ

ข้อที่ 2 ไทยเบฟ ประกาศว่าจะเป็นองค์กรที่ร่วมใน “เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ”

ข้อ 3 “เป็นบรรษัทพลเมืองที่ดีของโลก ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายมีคุณภาพชีวิตที่ดี” ส่วนข้อ 6 ได้อ้างถึงสิทธิมนุษยชน ว่า “ดำเนินการให้แน่ใจว่าไม่มีการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน”

 

อย่างไรก็ตาม ในเมื่อสินค้าชนิดนี้เป็นสินค้าไม่ปกติธรรมดา เป็นสารเสพติดเหมือนกับบุหรี่ กัญชา สร้างปัญหาสุขภาพและสังคม จึงขอตั้งคำถามว่า บริษัททั้งหลายมีธรรมาธิบาลในการรับผิดชอบต่อปัญหาของตนเอง อย่างไร? เพราะเรายังเห็นการทำการตลาดที่ไม่มีความรับผิดชอบตามที่กล่าวอ้าง โดยกฎหมายควบคุมแอลกอฮอล์ยกเว้นให้สามารถโฆษณาได้แต่ไม่ใช้ แต่ทำการตลาดโดยใช้ตราโลโก้แบบเดียวกันกับเบียร์แต่โฆษณาแทนในน้ำแร่ช้างโดยไทยเบฟ และโซดาโดยลีโอของบริษัทบุญรอดฯ หรือ น้ำดื่มรีเจนซี่ ที่ทราบจากเรื่องเล่าว่าสั่งผลิตแค่ล็อตเดียว อย่างนี้เรียกว่ากำลังรับผิดชอบต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือสิทธิมนุษยชน หรือ? เพราะการกระทำดังกล่าว คือการโฆษณาอำพรางสินค้าตนเองไม่ให้ประชาชนสงสัยว่าสินค้าแอลกอฮอล์นั้นมีส่วนในการสร้างความยากจน สร้างความไม่เท่าเทียมในการศึกษา ทำลายสุขภาพประชาชนและระบบสาธารณสุข สร้างความไม่เท่าเทียมให้เพิ่มขึ้น เป็นต้น สร้างปัญหาเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนกว่า 13 ข้อใน 17 ข้อเป้าหมาย ซึ่งองค์กร Movendi International  ได้เปิดโปงให้เห็นเบื้องหลังดังกล่าว แต่เรื่องที่ย้อนแย้ง เมื่อกรณีศึกษาเฉพาะไทยเบฟ ได้ใช้ช่องทางสร้างภาพลักษณ์โดยเข้าเป็นสมาชิกธุรกิจเพื่อเป็นหุ้นส่วนการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ แล้วนำเอาผลการทำกิจกรรมสร้างภาพลักษณ์ต่างๆ เข้าเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน  คำถามก็คือ ไทยเบฟควรจะนำเสนอผลกระทบต่อสินค้าตนเองที่มีผลต่อเป้าหมายความยั่งยืน ด้วยหรือไม่ ?
 

ทั้งนี้ ผลกระทบที่ว่านั่นดูได้จากรายงานวิจัยการศึกษาต้นทุนผลกระทบทางสังคมจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทย  โดยศูนย์วิจัยปัญหาสุรา รศ.ดร.ภญ.มนฑรัตม์ ถาวรเจริญทรัพย์ และคณะ ที่ประเมินในปี 2564 มี

 

มูลค่าสูงถึง 165,450 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 1.02 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ และคิดเป็นมูลค่า 2,500 บาทต่อหัวประชากร แสดงว่า สิ่งที่ไทยเบฟ (กำไร 3 หมื่นล้าน) และบริษัทใหญ่เล็กต่างๆ (คาดว่าจะกำไร รวม 1หมื่นล้านบาท)  ประกาศผลกำไรรวมคิดง่ายๆ ที่ 40,000 ล้านบาท จะมีสัดส่วนค่าความสูญเสียในอัตรา กำไร 1 บาท ค่าความสูญเสีย 4 บาท โดยที่สังคมและรัฐจะต้องจ่ายทั้งเป็นเม็ดเงิน ชีวิตลมหายใจและคราบน้ำตาแผลในใจถ้าเรายอมรับว่าแอลกอฮอล์ยังต้องมีผลิตและขายต่อไป แต่อะไรคือความเป็นธรรม ความเท่าเทียม การลดความเหลื่อมล้ำที่สังคมได้รับจากบริษัทที่ผลิตสินค้าเหล่านี้ ?

 

กล่าวมาถึง “นโยบายพรรคการเมือง” เพื่อแก้ปัญหาการผูกขาด การลดความเหลื่อมล้ำ หรือสร้างความเป็นธรรม หรือความเท่าเทียม โดยการเปิดเสรีสินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จึงมีคำถามว่า คงไม่ใช่เฉพาะการแก้กฎหมายเพื่อให้สามารถผลิตได้เสรี รายย่อยก็ผลิตได้เพื่อจะลดการผูกขาด หรือ จะแก้กฎหมายควบคุมแอลกอฮอล์เพื่อจะให้สามารถโฆษณาลดแลกแจกแถมดื่มขายที่ไหนก็ได้ เพื่อให้รายย่อยจะได้ขายสู้กับบริษัทผูกขาดเหล่านี้ แค่นั้นใช่หรือที่จะแก้ไขความเหลื่อมล้ำได้?

 

  • เปิดโอกาสผู้ผลิตแอลกอฮอล์รายย่อยได้โฆษณาเท่ากับผู้ผลิตรายใหญ่

นี่คือความเป็นธรรม หรือความเท่าเทียมที่สังคมเรียกร้องอย่างแท้จริง อย่างนั้นหรือ? หรือนี่คือความเท่าเทียมที่เราอยากได้ คือ แค่เท่าเทียมที่จะผลิตและโฆษณาให้ได้เท่ากันกับรายใหญ่ และความเท่าเทียมของผู้ได้รับผลกระทบและสังคมที่ได้รับความสูญเสีย อยู่ที่ไหน?

ความเป็นธรรมหรือเท่าเทียมในด้านคุ้มครองประชาชน คือ ผู้บริโภคที่ดื่ม และผู้บริโภคที่ไม่ได้ดื่ม ทั้งคู่ที่ได้รับผลกระทบจากสินค้าของบริษัทเหล่านี้ ที่จะได้รับการคุ้มครอง และการได้รับการเยียวยาจากสินค้าที่ผลิตออกมาทั้งรายใหญ่และรายย่อย มีหรือไม่?

คงไม่ใช่แค่ผู้ผลิตรายย่อยไม่กี่พันรายที่นักการเมืองหลายพรรคได้ยกมาอภิปรายในสภาฯ ว่าจะได้ประโยชน์จากการผลิตที่เสรี !! ที่น่าเศร้าใจ คือ ไม่มีใครคัดค้านหรืออภิปรายเสนอข้อมูลผลกระทบเพื่อช่วยถ่วงดุลผลกระทบที่ตามมา

ทำไม เราไม่เสนอให้บริษัทที่ทำกำไรบนปัญหาทุกขภาวะสังคม ต้องเอากำไรเหล่านี้มาจ่ายให้กับผู้ได้รับผลกระทบ?
ทำไม เรามุ่งแก้ไขกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้อ่อนแอลงเพื่อประโยชน์คนกลุ่มเล็กๆ โดยละเลยประชาชนทั้งประเทศที่กฎหมายฉบับนี้คุ้มครองอยู่ ?

ทำไม เราไม่หามาตรการที่จะจำกัดการผูกขาด โดยกฎหมายการแข่งขันทางการค้าที่ต้องนำไปสู่ภาคปฏิบัติเพื่อนำไปสู่การลดการผูกขาดที่แท้จริง ?
และความเหลื่อมล้ำทางนโยบายที่รัฐบาลและพรรคการเมือง เอื้อประโยชน์ให้กับทุนขนาดใหญ่ เช่น การที่ผู้บริหารบริษัทไทยเบฟนั่งหัวโต๊ะในโครงการประชารัฐรักสามัคคี ที่อาจจะเกิดการเอื้อประโยชน์ต่อภาคธุรกิจหรือไม่ เช่น อาจทำให้ไม่ขึ้นภาษีเหล้าขาว เพราะไทยเบฟเป็นเจ้าของธุรกิจเหล้าขาวรายใหญ่และทำกำไรมากมาย หรืออาจจะเกิดความเกรงใจละเลยไม่บังคับใช้กฎหมาย จนสร้างความเหลื่อมล้ำโดยทุนใหญ่ได้ประโยชน์ ซึ่งลักษณะแบบนี้ ทางฝั่งการเมืองได้วิเคราะห์และนำเสนอนโยบายแก้ปัญหานี้หรือไม่ ?

 

  • เสนอแก้กฎหมายควบคุมแอลกอฮอล์ เน้นที่ผลกำไรมหาศาลของบริษัทใหญ่

ดังนั้น ในกระแสของการพัฒนาประเทศในท่ามกลางวิกฤตนี้ ในโอกาสปีใหม่ 2566 นี้ ขอเราลดการซ้ำเติมคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยการแก้กฎหมายควบคุมแอลกอฮอล์ให้อ่อนแอลง และขอให้มองผลกำไรมหาศาลที่ไทยเบฟและบริษัทอื่นๆ ได้รับ หาทางทำอย่างไรเอากำไรนั้นกลับมาเยียวยาลูกค้าและประชาชนที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้ง ขอให้มุ่งมั่นที่จะลดความผูกขาดโดยการใช้มาตรการกฎหมาย พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2560   นี่คือความเป็นธรรม และความเท่าเทียมที่เราต้องทำให้เกิดขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำที่มีประชาชนเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่หรือ?

 

คำว่า เท่าเทียม, เป็นธรรม และความเหลื่อมล้ำ ไปพร้อมๆ กัน เพราะสังเกตว่าฝ่ายที่ต้องการเปิดเสรีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะใช้คำทั้งสามตามที่ต้องการเกิดขึ้น เช่น ถ้าต้องการแก้ไขกฎหมายการผลิตเสรีเพื่อให้เกิดความเท่าเทียม ที่รายย่อยจะได้โอกาสผลิตเท่ารายใหญ่ แต่ถ้าจะเสนอแก้ไขอัตราการเสียภาษีก็ใช้คำว่า เสนอให้เก็บภาษีที่เป็นธรรม รายย่อยควรเก็บคนละอัตรากับรายใหญ่เพราะฐานรายได้ไม่เท่ากัน ซึ่งทั้งสองเหตุการณ์ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ ในมุมมองที่มาจากฝั่งธุรกิจที่ค้ากำไร ซึ่งแตกต่างจากมุมมองของภาคผู้ได้รับผลกระทบ

 

บทความโดย นายธีระ วัชรปราณี : ผู้จัดการสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.)

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ