"บสอ."ตั้งเป้า 5 ปี เก็บหนี้3.7-4.2หมื่นล้านคืน"ไอแบงก์"
"บสอ.” วางแผน 5 ปีเก็บหนี้ 3.2 หมื่นล้านคืนไอแบงก์ ยึดหลัก ลูกค้าคือประชาชน เมื่อพวกเขามีความสุข ประเทศก็สุขด้วย หวังสร้างคนและเพื่อให้คนสร้างชาติต่อไป
ธงรบ ด่านอำไพ ผู้จัดการบริษัท บริหารสินทรัพย์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย จำกัด (บสอ.) หรือไอแอม เปิดเผยว่า หลังจากคณะรัฐมนตรี(ครม.)มีมติอนุมัติให้จัดตั้ง บริษัท บริหารสินทรัพย์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย จำกัด เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2559 เพื่อเข้ามาบริหารจัดการ จำหน่าย เจรจาแก้ไข ปรับโครงสร้างหนี้ เรียกเก็บหนี้ ฟ้องร้องดำเนินคดีทางกฎหมาย โดยมีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลังถือหุ้นทั้งหมด จากนั้นไอแอมก็เข้ามาจัดการหนี้ด้อยคุณภาพที่รับโอนมาจากธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย หรือไอแบงก์ โดยตลอดในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา
“วิสัยทัศน์และภารกิจของ บสอ.คือ มุ่งสู่การเป็นรัฐวิสาหกิจที่บริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพเพื่อให้หนี้ด้อยคุณภาพที่รับโอนมาจากธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ได้รับการแก้ปัญหาให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว ด้วยเครื่องมือเทคโนโลยีที่ทันสมัย และบุคลากรที่มีคุณภาพ เพื่อเป็นเครื่องมือของภาครัฐในการบริหารจัดการหนี้ด้อยคุณภาพ ปรับโครงสร้างหนี้ให้ลูกหนี้ เพื่อให้ บสอ.สามารถชำระผลตอบรับการโอนทรัพย์สินคืนให้ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยตามสัญญาที่กำหนด”
ผู้จัดการ บสอ.เผยต่อว่า นอกจากนี้ บสอ.ยังเสริมสร้างบุคลากรที่เชี่ยวชาญการทำหน้าที่การบริหารสินทรัพย์ให้มีประสิทธิภาพและมีความเป็นมืออาชีพ ซึ่งหลังจากที่เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัทเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2561 และรับภารกิจในการบริหารหนี้ด้อยคุณภาพไปแล้วกว่า 48,000 ล้านบาท จำนวนลูกหนี้กว่า 28,000 ราย โดยเมื่อเดือนธันวาคม 2561 บสอ.เรียกเก็บหนี้ได้ 2,087 ล้านบาท แบ่งเป็นกำไรหลังหักต้นทุน 1,091 ล้านบาท เมื่อหักค่าใช้จ่ายและภาษีแล้วจะเหลือกำไร 782 ล้านบาท
“ตัวเลขกำไรเป็นตัวเลขที่ผ่านการตรวจสอบจาก สตง.แล้ว ดังนั้นผลประกอบการที่ บสอ.ดำเนินการในปี 2561 ทำให้มีสภาพคล่อง สามารถชำระหนี้คืนให้ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยได้ก่อนกำหนด จำนวน 2,000 ล้านบาท ซึ่งชำระเป็นที่เรียบร้อยเมื่อเดือนเมษายน 2562 เร็วกว่ากำหนดที่ต้องกำหนดชำระเดือนมิถุนายน 2563”
ธงรบ กล่าวว่า สำหรับเป้าหมายในปีนี้ถึงปี 2567 ไอแอมจะต้องชำระหนี้คืนให้ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ราว 2.3 หมื่นล้านบาท โดยปีนี้ตั้งเป้าหมายท้าทายต้องติดตามเรียกเก็บหนี้ด้อยคุณภาพจำนวน 3,400 ล้านบาท โดย 6 เดือนแรกในปีนี้ (ม.ค.-มิ.ย. 2562) สามารถเรียกเก็บหนี้ได้แล้ว 1,300 ล้านบาท และถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2562 ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 1,850 ล้านบาท คาดว่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งในระยะเวลาที่ผ่านมาลูกค้าติดต่อเข้ามาขอประนอมหนี้มากขึ้น เนื่องจากนโยบายการบริหารงานแบบคืนความสุขให้ประชาชน ช่วยพลิกฟื้นให้ลูกหนี้กลับคืนสู่อิสรภาพทางการเงินอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจจะมีสภาพคล่องน้อยก็ตาม
“ในปีนี้ (ม.ค.-ส.ค. 2562) บสอ.น่าจะเก็บหนี้ได้ 1,850 ล้านบาท และจะชำระหนี้คืนให้ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ก่อนกำหนดเพิ่มเติมได้อีกไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท จากวันนี้ถึง 5 ปีข้างหน้า แผนที่ บสอ.วางไว้คือจัดเก็บหนี้ให้ได้ไม่น้อยกว่าปีละ 4,500 ล้าน หากบริหารงานในการติดตามหนี้สินได้ดีขึ้นกว่าที่วางแผนไว้ คือเป้าหมายที่ท้าทาย ก็น่าจะจัดเก็บหนี้ได้ 3.7-4.2 หมื่นล้านบาท หากทำได้แบบนี้กระทรวงการคลังน่าจะมีรายได้ที่ บสอ.ส่งคืนไปราว 8,000 ล้านบาท” ธงรบกล่าว
ธงรบ ย้ำด้วยว่า จากนี้ไป บสอ.จะใช้ยุทธวิธีบริหารงานก้าวหน้า โดยมีผลประกอบการที่นำหน้าภาระที่รออยู่ข้างหน้า การตั้งเป้าหมายชำระหนี้ได้ก่อนกำหนดที่กระทรวงการคลังตั้งไว้ คือวิธีที่ใช้สร้างวิธีคิดของพนักงาน รับรู้และยอมรับในบทบาทของการเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีภารกิจหลักคือต้องชำระหนี้คืนธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย รวมถึงต้องให้คำแนะนำเป็นกำลังใจให้ลูกค้าให้ฟื้นกลับมาทำธุรกิจได้เร็วที่สุด
“เพราะสิ่งนั้นคือกำไรของประเทศ ของประชาชนและของรัฐบาล บสอ.มีหน้าที่คือทำให้ประชาชนมีความสุข ลูกค้าของเราก็คือประชาชน เมื่อพวกเขามีกำลังใจและได้รับโอกาสที่เป็นไปได้สมเหตุสมผลก็จะกลับมาประกอบธุรกิจและมีรายได้เพียงพอที่จะชำระหนี้ หากมีปัญหาก็มาคุยร่วมหาแนวทางแก้ไขบนทัศนคติที่ดี รายได้ตรงนี้ที่เข้ามาก็ส่งคืนไปยังรัฐบาล ประเทศก็จะเข้มแข็ง เราบริหารองค์กรมีเป้าหมายคือกำไร แต่เราต้องมีกำไรสองส่วนคือองค์กรและลูกค้าอยู่ร่วมกันได้ เราไม่ใช่เจ้าหนี้ที่จะเอาประโยชน์ฝ่ายเดียว องค์กรต้องมีกำไรที่สมเหตุสมผล แต่ลูกค้าก็ต้องมีความสุขด้วยในการทำธุรกิจ และได้รับชีวิตที่ดีขึ้นด้วย เมื่อลูกค้าที่เป็นประชาชนมีความสุข รัฐบาลก็มีความสุข บสอ.คือรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลก็มีความสุขด้วยเช่นกัน” ธงรบระบุ
อย่างไรก็ตาม ผู้จัดการ บสอ.ยอมรับว่า วันนี้เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงโลกและเข้ามาเร็วมาก องค์กรขนาดใหญ่กำลังลดการจ้างแรงงานเพราะใช้เทคโนโลยีเอไอเข้ามาช่วยทำงาน แต่ความจริงที่เกิดขึ้นลูกค้าขนาดกลางและขนาดย่อมยังต้องการขยายตัว และเพิ่มจำนวนพนักงานเพื่อเพิ่มขนาดธุรกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน หน้าที่ของเราในเรื่องนี้คือต้องเร่งรีสตาร์ทพวกเขาให้ฟื้นกลับมาใหม่อีกครั้ง
“เราสร้างคนและเพื่อให้คนสร้างชาติต่อไป ลูกค้าที่เป็นหนี้กลุ่มนี้มีประสบการณ์ในการผิดพลาดมาแล้ว ขอเพียงโอกาส เราจะช่วยตรงนี้ให้พวกเขา เมื่อพวกเขาเข้มแข็งมันจะส่งผลดีกับการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศในวันข้างหน้า” ธงรบย้ำทิ้งท้าย
ธงรบ ด่านอำไพ ผู้จัดการบริษัท บริหารสินทรัพย์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย จำกัด (บสอ.) หรือไอแอม จบการศึกษาระดับปริญญาตรี นิติศาสตรบัณฑิต(เกียรตินิยม) ปริญญาโท พาณิชยศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เนติบัณฑิตไทย (นบท.) เนติบัณฑิตยสภา
ประวัติการทำงาน เคยเป็นกรรมการและรักษาการผู้จัดการธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย และประธานกรรมการบริหารธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ก่อนจะมารับตำแหน่งผู้จัดการ บสอ. เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2561 จนถึงปัจจุบัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง