ข่าว

 "พาณิชย์"ปรับแผนรุกส่งออกครึ่งปีหลัง2562 มุ่งสินค้าเกษตร

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

 "พาณิชย์"ปรับแผนรุกส่งออกครึ่งปีหลัง2562 มุ่งสินค้าเกษตร-กระจายตลาดลดความเสี่ยง 

         มีหลายปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยในช่วงครึ่งปีหลัง 2562 ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐหรือเงินบาทแข็งค่า แม้กระทั่งความกังวลในสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐและอิหร่านที่เข้ามากดดันเงินดอลลาร์สหรัฐให้อ่อนค่า ซึ่งคงยังต้องลุ้นกันต่อไป     

         บรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์กล่าวถึงแผนการรุกตลาดตางแดน เพื่อผลักดันการส่งออกให้ขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ร้อยละ3 ก่อนสิ้นปีนี้ โดยระบุว่าจะเน้นกระจายความเสี่ยง โดยการปูพรมให้สินค้าไทยเข้าถึงทุกตลาดมากขึ้น  ไม่เน้นบุกตลาดใดตลาดหนึ่งเป็นหลัก แต่ยังคงรักษาฐานตลาดหลักที่มีส่วนแบ่งการตลาดไว้ ในขณะที่ตลาดใหม่จะเร่งทำกิจกรรมต่าง ๆ มากขึ้น โดยจะเปิดตลาดใหม่ที่เริ่มเห็นสัญญาณการขยายตัวต่อเนื่อง เช่น รัสเซีย และแคนาดา นอกจากนี้จะใช้นโยบายการค้าควบคู่กับการลงทุน และการบริการไปด้วย เพื่อขยายการส่งออกและการลงทุนในกลุ่มตลาดที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐ อินเดีย หรือ CLMV

 "พาณิชย์"ปรับแผนรุกส่งออกครึ่งปีหลัง2562 มุ่งสินค้าเกษตร  "พาณิชย์"ปรับแผนรุกส่งออกครึ่งปีหลัง2562 มุ่งสินค้าเกษตร

   

        "เรายังให้ความสำคัญกับสินค้าที่ขยายตัวสูง และมีศักยภาพในการส่งออกทดแทน เช่น สินค้าเกษตร ประมงและอาหาร ทั้งอาหารสดและแปรรูป รวมถึงการผลักดันสินค้าดาวรุ่งใหม่ๆที่มีศักยภาพ ด้วยการชูภาพลักษณ์ของสินค้าไทยที่มีคุณภาพดี มาตรฐานระดับสากล ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค เพื่อชดเชยการชะลอตัวของสินค้าหลักกลุ่มเดิม อาทิ รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ นาฬิกาและส่วนประกอบ เครื่องดื่ม  เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เป็นต้น" 

          บรรจงจิตต์เผยต่อว่าแผนการรุกตลาดในปีนี้เริ่มที่ตลาดสหรัฐ มีแผนที่จะจัดตั้งหน่วยประสานงานกลาง (Focal Point) สำหรับภาคเอกชนรายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพและได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบในต่างประเทศ เพื่อช่วยในการประสานงานและให้ข้อมูลรายอุตสาหกรรมให้กับสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) ภูมิภาคอเมริกา แบบ Fast Track เมื่อมีปัญหาหรือผลกระทบต่อการค้าการและลงทุน จะได้ร่วมกันวางแผนป้องกัน และรับมือทันต่อสถานการณ์ 

         นอกจากนี้ เตรียมเข้าเจาะตลาดผู้นำเข้าขนาดกลางและเล็กเพื่อขยายส่วนแบ่งตลาดของสินค้าไทยในสหรัฐให้มากขึ้น เนื่องจากกลุ่มนี้มีประมาณ 2 แสนราย หรือมีจำนวนถึง 1 ใน 3 ของผู้นำเข้าทั้งประเทศ ส่วนใหญ่นำเข้าสินค้าหลักจากไม่กี่ประเทศ และประเทศเหล่านี้กำลังมีปัญหา จึงเป็นโอกาสของไทยที่จะเป็นแหล่งนำเข้าทางเลือกใหม่ของผู้นำเข้าในกลุ่มนี้ รวมทั้งเร่งนำผู้ประกอบการไทยไปร่วมงานแสดงสินค้าสำคัญต่างๆในสหรัฐให้มากขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้ได้พบกับผู้นำเข้าขนาดกลางและเล็กของสหรัฐ

         พร้อมกันนี้ จะเร่งประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของไทย รวมถึงสินค้า บริการ และแบรนด์ไทยโดยเร็ว เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับผู้บริโภค อีกทั้งส่งเสริมผู้ประกอบการไทยใช้ประโยชน์จาก USMCA (United States-Mexico-Canada Agreement) และ FTA ของสหรัฐ และเร่งผลักดันการเจรจาการเข้าร่วมเป็นสมาชิก CPTPP , ASEAN-Canada FTA ,ASEAN-MERCOSUR FTA ,Pacific Alliance โดยการเจรจาต่างๆเหล่านี้จะเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะสนับสนุนการส่งออกของไทยให้เติบโตอีกทาง 

          สำหรับตลาดจีนนั้น อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศระบุว่ามีแผนที่จะรุกตลาดในกลุ่มสินค้าเป้าหมาย อาทิ อาหารฮาลาล ผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยง สินค้าสุขภาพผลิตภัณฑ์ดูแลผิว และธุรกิจบริการ ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่ได้รับความสนใจ รวมทั้งสนับสนุนผู้ประกอบการกลุ่มสินค้าที่มีแบรนด์เป็นของตนเองเข้าเจาะตลาดผู้บริโภคระดับบนด้วย พร้อมกันนี้การเจาะตลาดเมืองรองเป็นรายมณฑลยังเป็นเป้าหมายสำคัญ โดยจะจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับผู้นำเข้าในห้างสรรพสินค้า ที่จะเน้นผลไม้ระดับพรีเมี่ยมและสินค้าผลไม้ที่มีนวัตกรรม มุ่งเป้าเจาะตลาดในกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง และน่าสนใจ เช่น กวางโจว เซี่ยะเหมิน คุนหมิง หนานหนิง ชิงต่าว เซี่ยงไฮ้ หางโจว ฉงชิ่ง และ ฮ่องกง

        นอกจากนี้จะจัดให้มีการเชื่อมโยงการค้าการลงทุนระดับภูมิภาคเพื่อต่อยอดการขาย และสร้างความสัมพันธ์กับคู่ค้าในพื้นที่จีนตะวันออก โดยเฉพาะเมืองรองที่อยู่บนเส้นทาง Belt & Road Initiative เขตเศรษฐกิจพิเศษ Greater Bay Area เพื่อเข้าสู่ด้านตะวันตกของจีน พร้อมกับเชื่อมโยงไปในเส้นทางสำคัญๆของจีน รวมไปถึงการส่งเสริมการลงทุนของจีนในพื้นที่ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ให้มากขึ้น ผลักดันการค้า Online – Offline โดยใช้ช่องทาง Modern Trade E-Commerce ส่งเสริมการเข้าใช้ Thailand Flagship Store ร่วมกับ Alibaba และ JD รวมถึง Platform ชั้นนำอื่นๆ ของจีน และผลักดันการค้าผ่าน Cross-Border E-Commerce เข้าสู่ 35 เมืองนำร่องของจีนที่ได้รับสิทธิพิเศษด้านภาษีและอำนวยความสะดวกด้านพิธีการศุลกากรจากรัฐบาล 

        "DITP จะร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กระทรวงการต่างประเทศ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ในการส่งเสริมและจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นตลาดต่างๆ โดยกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังนั้นมีถึง 300 กิจกรรม ที่จะสนับสนุนให้ภาคเอกชน ผู้ส่งออกในรายอุตสาหกรรม หรือรายสินค้าได้มีโอกาสในการเข้าไปทำตลาดในต่างประเทศให้มากขึ้น โดยกิจกรรมกระตุ้นการส่งออกจะทำควบคู่กับการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระดับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นผ่านการเยือนประเทศคู่ค้าของผู้บริหารระดับสูง ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่กรมจะผลักดันให้เกิดความร่วมมือในกรอบต่างๆ มากขึ้น"อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกล่าว

          ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์กำลังเร่งผลักดันให้เกิดการเจรจา FTA ในรายประเทศให้มากขึ้น เพื่อลดอุปสรรคด้านภาษีและอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนไทย หรือการจัดคณะผู้ประกอบการออกไปร่วมงานแสดงสินค้าในแต่ละประเทศ ซึ่งจะจัดให้มีการเจรจาการค้าควบคู่ไปด้วย โดยแผนกิจกรรมต่างๆที่กรมได้เตรียมการไว้ จะมีการนำเสนอให้กับรัฐบาลใหม่ พร้อมทั้งผู้บริหารใหม่ของกระทรวงพาณิชย์ได้พิจารณา ทั้งนี้ เชื่อว่าแผนกิจกรรมต่างๆจะผลักดันให้การส่งออกของไทยในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2562 กลับมาเติบโตดี โดยจะเห็นภาพชัดเจนในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ และการส่งออกจะเติบโตไปในทิศทางและเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ร้อยละ 3 

     บรรจงจิตต์ยังกล่าวถึงกรณีค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออก โดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาเงินบามแข็งค่ามากที่สุด แต่ถือว่าเป็นปัจจัยในระยะสั้น ซึ่งเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย และรัฐบาลใหม่ที่เข้ามาบริหารงานจะให้ความสำคัญในการดูแลในเรื่องนี้ และเชื่อว่าค่าเงินบาทจะเริ่มอ่อนค่าลงทำให้การส่งออกมีแนวโน้มดีขึ้นจนถึงปลายปี ซึ่งจะทำให้การส่งออกไทยจะกลับมาดีขึ้นตามลำดับ 

     "ในช่วงนี้ที่อัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวน แนะนำให้ผู้ส่งออกเร่งทำประกันความเสี่ยงจากค่าเงิน และจูงใจให้ผู้นำเข้าทำสัญญาระยะยาว เพื่อเป็นหลักประกันการซื้อขายและลดผลกระทบจากความไม่แน่นอนของข้อพิพาททางการค้า"อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกล่าวย้ำทิ้งท้าย

       ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ(DITP) www.ditp.go.th หรือโทรสายตรงการค้าระหว่างประเทศ 1169 

     

     ผู้ส่งออกวอนรัฐบาลใหม่ดูแลค่าเงินผันผวน 

              วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา  นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูปกล่าวกับ"คมชัดลึก"ถึงสถานการณ์ส่งออกสินค้าสำเร้จรูปในช่วงครึ่งปีหลังว่ายังอยู่ในสถานการณ์ที่ทรงตัว เนื่องจากเป็นสินค้าที่จำเป็นในการดำรงชีพ และสินค้าสำเร็จรูปของไทยมีคุณภาพสูงเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศ ในขณะที่สินค้าประเภทอื่นมีแนวโน้มส่งออกลดลง อันเป็นผลมาจากเงินบาทที่แข็งค่า ซึ่งสถานการณ์เป็นแบบนี้ในระยะยาวจะมีผลต่อากรส่งออกของไทยอย่างแน่นอน

             "เงินบาทแข็งมีผลพอสมควร ปกติสินค้าสำเร็จรูปมีกำไรอยู่ที่10%เมื่อค่าเงินบาทแข็ง เราก็ตัดส่วนนี้ออกไป ทำให้เกือบจะไม่ได้กำไรเลย สินค้าบางตัวก็ถึงต้นทุนแล้ว เพราะเราขายในราคาเท่าเดิม หากค่าเงินยังเป็นแบบนี้ต่อไป ผู้ส่งออกก็จะลำบาก"วิศิษฐ์กล่าว พร้อมชี้ทางออกจะมี 2 ส่วน คือภาครัฐและเอกชน ในส่วนภาคเอกชนนั้นขณะนี้ได้เร่งให้มีการปรับตัวหันมาใช้เครื่องจักรมากขึ้นเพื่อลดต้นทุนการผลิต  

           ขณะเดียวกันก็เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการนำเข้าเครื่องจักรต่างประเทศอันเป็นผลมาจากค่าเงินบาทแข็งค่า ในส่วนภาครัฐจะต้องเร่งหามาตรการแก้ปัญหาดังกล่าวโดยเร็ว เนื่องจากประเทศไทยพึ่งพาการส่งออกถึง 70% รองลงมาเป็นการท่องเที่ยว 20% และอื่น ๆ อีก 10% หากการส่งออกมีปัญหาจะส่งผลกระทบต่อจีดีพีของประเทศได้ ซึ่งหากเป็นเช่นนี้จะทำให้เป็นโอกาสประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากค่าเงินคงที่และต้นทุนค่า่แรงงานที่ถูกกว่าไทย

           นายกสมาคมผู้ผลิตสินค้าสำเร็จรูปยังวิเคราะห์ปัญหาสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ โดยระบุว่าจะเป็นความโชคดีของไทยที่ทำให้สินค้าบางตัวส่งออกไปยังสหรัฐเพิ่มขึ้นเพื่อทดแทนสินค้าจากจีนที่ราคาเพิ่มขึ้นจากกำแพงภาษี โดยเฉพาะอาหารสำเร็จรูปประเภทกระป๋องที่สามารถเก็บไว้ได้นาน ในส่วนตลาดจีนนั้นก็จะยังคงเน้นประเภทอาหารสดมากกว่า อย่างเช่นผักและผลไม้สด   เป็นต้น 

             "ผลจากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ ส่งออกไทยมีผลในเชิงบวกโดยส่งออกไปสหรัฐเพิ่มขึ้น 25% ขณะที่จีนเพิ่มขึ้น10% โดยสินค้าที่ส่งไปสหรัฐจะทดแทนสินค้าบางตัวนำเข้าจากจีน อันเป้นผลมาจากกำแพงภาษี ส่วนสินค้าที่ส่งไปจีนก็จะเน้นสินค้าสดมากขึ้น เพราะระยะทางการขนส่งที่ใกล้กว่า" 

            วิศิษฐ์ยังมองรัฐบาลใหม่ที่มีรัฐมนตรีจากพรรคเดียวกันเข้ามาคุมกระทรวงเกษตรฯซึ่งเป็นต้นทางการผลิตอาหารและกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งรับปผิดชอบดูแลด้านการตลาด โดยมองว่าเป็นเรื่องที่ดีในการทำงานจะได้มีการประสานกันมากขึ้นลดโอกาสการโต้แย้งหรือปัญหาที่ไม่สอดคล้องกันในทางด้านนโยบาย ซึ่งจะเป็นผลดีทั้งต่อภาคการผลิตที่เป็นต้นน้ำและผู้ประกอบการส่งออกที่อยู่ปลายน้ำจะได้ทำงานไปในทิศทางเดียวกัน

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ