'กสิกร'ดันลูกค้า รุก'อีคอมเมิร์ซ' ดึงกูเกิล-ไลน์ช่วย

 

กสิกรจับมือ “ไลน์-กูเกิล ”หนุนเอสเอ็มอีค้าปลีกจัดการธุรกิจรุกตลาดอีคอมเมิร์ซ เผยการเข้ามาของแจ็คหม่าไม่กระทบแผนอีมาร์เก็ตเพลสของธนาคาร เหตุคนละกลุ่มเป้าหมาย ต้องติดตามจะทำเรื่องเพย์เม้นท์ด้วยหรือไม่ เตรียมขยายการให้สินเชื่อเอสเอ็มอีโดยใช้ระบบวิเคราะห์ข้อมูล เพิ่มเป็น 30% ในปีนี้ จากปีก่อนอยู่ที่10% 

การเข้ามารุกตลาดไทยของ “อาลีบาบา”แม้จะมีส่วนช่วย ผู้ประกอบการไทย ขยายตลาด แต่ส่วนหนึ่งก็เกิดความกังวล ว่าจะกระทบกับธุรกิจไทยหลายกลุ่ม โดยเฉพาะ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้แข่งขันไม่ได้ ธนาคารกสิกรไทยจึงร่วมมือกับพันธมิตร “ไลน์ กูเกิล เอ็ดด้า”หนุนเอสเอ็มอีค้าปลีก บริหารจัดการธุรกิจแบบหลายช่องทางหรือ Omni Channel รับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นโดนเฉพาะการค้าออนไลน์ หรืออีคอมเมิร์ซ

นายสุรัตน์ ลีลาทวีวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) หรือ KBANK กล่าวว่า การที่อาลีบาบาเข้ามาขยายตลาดในประเทศไทยมีผลสองด้าน โดยผู้ประกอบการที่ซื้อของจีนมาขายจะได้รับผลกระทบจากสินค้าจีนทะลักเข้ามา แต่ผู้ประกอบการไทยที่มีสินค้าไทยจะได้เปรียบจากตลาดที่กว้างขึ้น 

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ปัจจุบันสินค้าจีนก็เข้ามาได้อยู่แล้วผ่านช่องทางของลาซาด้าและ aliexpress อาลีบาบาเข้ามาในบทบาทการจัดการตลาด และแชร์รายได้มากขึ้น

“อาลีบาบามาก็มีทั้งโอกาสและท้าทาย ทำให้เกมจะเล่นยากขึ้น เพราะเขาเป็นผู้เล่นใหญ่ ต้องติดตามว่าจะทำเรื่องเพย์เม้นท์ด้วยหรือไม่ หากทำเรื่องเพย์เม้นท์อาจจะกระทบต่อการชำระบัญชี(settlement) ให้เปลี่ยนไป กระแสเงินก็อาจจะมูฟไปที่จีนก็ได้ แล้วค่อยโอนมาที่ผู้ประกอบการบ้านเรา ไม่กระทบคนซื้อขาย แต่แง่ขอระบบชำระบัญชีขอปรับเปลี่ยน”

หนุน‘เอสเอ็มอี’ขายออนไลน์

สำหรับการเข้าตลาด E commerce หรือช่องทาง ขายของออนไลน์ ของผู้ประกอบการไทยปัจจุบันสามารถทำได้อยู่แล้วและมีช่องทางให้เลือกมากมายสิ่งสำคัญอยู่ที่การบริหารจัดการธุรกิจ ให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นการบริหารจัดการธุรกิจ แบบหลายช่องทาง หรือOmni channel ทั้งการจัดการข้อมูล การบริหารสต็อก ช่องทางการชำระเงินและการสื่อสารกับผู้บริโภค

ธนาคารกสิกรไทย จึงร่วมกับสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (ETDA) บริษัท Google (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท LINE ประเทศไทย จัดโครงการ K SME Good to Great ธุรกิจค้าปลีก เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีธุรกิจค้าปลีกสามารถบริหารจัดการธุรกิจ ทั้งการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ หรือ Omni Channel ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รองรับการค้ายุคใหม่ ทั้งการจัดสัมมนา การฝึกอบรมเชิงลึก และการให้คำปรึกษาแบบตัวต่อตัว

อาลีบาบาไม่กระทบอีมาร์เก็ตเพลส

ทั้งนี้การเข้ามาของอาลีบาบา คงไม่กระทบกับแผนการทำอีมาร์เก็ตเพลส (E marketplace) ของธนาคารเพราะเป็นคนละกลุ่มเป้าหมายกัน นโยบาย E marketplace ของธนาคาร เน้นนำเสนอสินค้าให้กับลูกค้าโมบายแบงกิ้ง หรือ K Plus ซึ่งมีอยู่จำนวน 10.8 ล้านราย เกิดเป็นการนำเสนอสินค้า โดยอาศัยการวิเคราะห์ความต้องการหรือพฤติกรรมของผู้บริโภคเป็นหลัก

เขากล่าวต่อว่า ในส่วนของ สินเชื่อเอสเอ็มอี คาดว่าจะโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ที่ 4-6 %โดยในช่วงไตรมาสแรก มีการเติบโต 5.6 % เป็นการเติบโตจากทุกกลุ่ม เฉพาะสินเชื่อปล่อยใหม่คาดว่าจะมีการเติบโตประมาณ 10 -15%จากปี ก่อนหน้าที่มีสินเชื่อปล่อยใหม่ 2.25 แสนล้านบาท ซึ่งในกลุ่มนี้เป็นสินเชื่อที่ธนาคารใช้ระบบการวิเคราะห์ข้อมูลหรือ Data analysis ประมาณ 10% ปีนี้ ตั้งเป้าจะเพิ่ม การให้สินเชื่อโดยใช้ระบบการวิเคราะห์ข้อมูลเพิ่มขึ้น เป็น 30% ของสินเชื่อปล่อยใหม่

อีคอมเมิร์ซปี60โต9.8%

ด้านนางสุรางคณา วายุภาพ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) เปิดเผยว่า ในแต่ละปี ETDA ได้มีการจัดทำผลสำรวจมูลค่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ปีละครั้งร่วมกับ UNCTAD โดยคาดการณ์มูลค่าอีคอมเมิร์ซปี 2560 เติบโตเพิ่มขึ้น 9.86% ซึ่งมูลค่าอีคอมเมิร์ซประเภท B2C ของไทยปี 2560 จะสูงถึง 7.03 แสนล้านบาท โดยคาดว่าเพิ่มขึ้น 37.91% และมูลค่าอีคอมเมิร์ซ B2C ของไทยจะเป็นตลาดที่มีมูลค่าสูงที่สุดในอาเซียน ซึ่งจากการสำรวจเมื่อปีที่ผ่านมา พฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ของคนไทยก็ขึ้นมาติด 1 ใน 5 กิจกรรมยอดฮิตเป็นครั้งแรก แสดงให้เห็นว่าคนไทยยอมรับการซื้อขายผ่านอีคอมเมิร์ซมากขึ้น

นางสาวสกุลรัตน์ ตันยงศิริ หัวหน้าธุรกิจ LINE@ บริษัท LINE ประเทศไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันธุรกิจ e-commerce ในประเทศไทยเติบโตประมาณ 9-14% ของทุกปี แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคเริ่มเข้าใจและกำลังปรับตัวเพื่อเข้าสู่โลกออนไลน์แบบเต็มตัว ปัญหาหลักหรืออุปสรรคหลักๆ ของผู้ประกอบการที่ศึกษามามี 3 อย่าง คือ 1.การปิดรับสิ่งใหม่ ผู้ประกอบการยังมีบางส่วนที่ยังคุ้นเคยกับสิ่งเดิมๆ ที่ทำอยู่ ไม่เปิดรับหรือไม่กล้าที่จะเริ่มสิ่งใหม่ 2.ปรับตัวได้ช้า เนื่องจากขาดความรู้ ความเข้าใจ ว่าต้องทำอย่างไร 3.มีต้นทุนที่ค่อนข้างจำกัด ส่งผลให้กิจการไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ หรือต้องหยุดกิจการลง

‘ซีไอเอ็มบี’คิดดบ.ตามความเสี่ยง

นางสาวอรอนงค์ อุดมก้านตรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผลิตภัณฑ์สินเชื่อรายย่อย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)(CIMBT) เปิดเผยว่า ธนาคารเตรียมปรับรูปแบบหรือโมเดลการให้สินเชื่อ โดยพิจารณาดอกเบี้ยและวงเงินตามความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละราย หรือแต่ละกลุ่ม จากเดิมที่ทำโมเดลสินเชื่อ โดยคิดอัตราดอกเบี้ยเดียวกันทั้งหมด ไม่ว่าจะมีความเสี่ยงมากหรือน้อย ทำให้การคิดอัตราดอกเบี้ยต้องคิดในอัตราที่ครอบคลุมความเสี่ยงทั้งหมด

แต่ การให้สินเชื่อโดยคิดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยง ของลูกค้าที่แตกต่างกันจะทำให้แต่ละรายมีต้นทุน ที่แตกต่างกัน โดยลูกค้าที่มีความเสี่ยงต่ำ ก็จะได้รับอัตราดอกเบี้ย ที่ต่ำกว่า หรือการใช้วงเงิน ที่ไม่สูง ก็มีความเสี่ยงน้อยกว่าการขอวงเงินจำนวนมาก เป็นต้น

โมเดลสินเชื่อแบบนี้นอกจากจะช่วยให้ธนาคาร สามารถ ช่วยลูกค้าลดต้นทุนการเงินได้ยังมีส่วนช่วยในการบริหารความเสี่ยง และลดต้นทุนการตั้งสำรองของธนาคารโดยเฉพาะการตั้งสำรองตามมาตรฐานบัญชีใหม่ IFRS9 ในปี2562 จะทำให้ธนาคารต้องมีการตั้งสำรองเพิ่มขึ้น เพราะต้องเปลี่ยนวิธีการตั้งสำรอง โดยต้องประเมินความเสี่ยงหรือโอกาสที่จะเกิดหนี้เสียในอนาคต ตลอดอายุสัญญาเงินกู้ด้วย หากเป็นไปตามนี้ธนาคารอาจจะต้องตั้งสำรองเผื่อเต็มวงเงินกู้ที่อนุมัติทั้งหมด แม้ว่าลูกค้าอาจจะยังไม่ได้เบิกใช้

โดย ล่าสุด ธนาคารได้มีการออกผลิตภัณฑ์สินเชื่อบุคคลใหม่ คือสินเชื่อบุคคลเอ็กซ์ตร้าแคช ให้กู้ในวงเงินเดียว คือ5หมื่นบาท สำหรับบุคคลที่มีเงินเดือนตั้งแต่ 3 หมื่นบาทขึ้นไป สำหรับบุคคลที่มีเงินเดือนตั้งแต่ 30000 บาทขึ้นไปโดยคิดอัตราดอกเบี้ยตามระยะเวลาผ่อนชำระโดยคิดอัตราดอกเบี้ยที่7.3 % ต่อปีนาน 12 รอบบัญชี ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดสำหรับสินเชื่อบุคคลในขณะนี้ และรอบบัญชีที่ 13 เป็นต้นไปคิดดอกเบี้ยที่ 14.60 % ซึ่งโปรดักส์นี้จะทำให้ธนาคารมีต้นทุนที่ถูกลง เพราะเป็นการอนุมัติวงเงินเดียว

ที่มา：กรุงเทพธุรกิจ