ข่าว

"นกสกู๊ต"เปิดตัวขายบัตรโดยสารบินตรงกรุงเทพฯ-นาริตะมิ.ย.นี้

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

นกสกู๊ตเปิดตัวขายบัตรโดยสารบินตรงกรุงเทพฯ-นาริตะมิ.ย.นี้

               สายการบินนกสกู๊ต สายการบินร่วมทุนระหว่างสายการบินนกแอร์ ของคนไทย และสายการบินสกู๊ต จากประเทศสิงคโปร์ ประกาศเปิดตัวขายบัตรโดยสารเที่ยวบินตรง จากสนามบินดอนเมือง กรุงเทพฯ สู่ สนามบินนาริตะ ประเทศญี่ปุ่น วันละ 1 เที่ยวบิน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2561 เป็นต้นไป 

      "ที่สุดแล้วการเปิดเส้นทางสู่แดนอาทิตย์อุทัยก็มาถึง และเส้นทางการบินระหว่างกรุงเทพฯ–สนามบินนาริตะนี้ ยังถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ตลาดในประเทศญี่ปุ่น หลังจากได้กระแสตอบรับที่ดีจากการเปิดเส้นทางการบินสู่ประเทศจีนและไต้หวันเมื่อสี่ปีที่แล้ว" คุณยอดชาย สุทธิธนกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของสายการบินนกสกู๊ตกล่าวยืนยัน

              การให้บริการบนเส้นทางบินระหว่างกรุงเทพฯ–สนามบินนาริตะ ยังคงเป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างการเติบโตระยะยาวของสายการบินนกสกู๊ต เพราะตั้งแต่สายการบินเริ่มดำเนินการในปี 2557 ก็เตรียมการเพื่อเปิดตัวและให้บริการบนเส้นทางบินนี้ผ่านการร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น เพื่อดำเนินการในเรื่องของกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศ

               "เส้นทางการบินระหว่างกรุงเทพฯ – สนามบินนาริตะของสายการบินนกสกู๊ตยังเป็นตัวช่วยสำคัญเพื่อให้เกิดการเติบโตได้ตามเป้าหมายสำหรับปี 2561 เนื่องจากนักท่องเที่ยวมีความต้องการเดินทางบนเส้นทางนี้ที่สูง ซึ่งหลังจากการเปิดตัวเส้นทางสู่โตเกียวในครั้งนี้แล้ว นกสกู๊ตยังมีแผนที่จะขยายเส้นทางบินไปในแถบภูมิภาคเอเชียเหนือและภายในปีนี้ เรายังจะเพิ่มเส้นทางบินอื่นๆ ต่อไปอีก" คุณยอดชายกล่าวเพิ่มเติม

               และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองกับการเปิดตัวเส้นทางใหม่ สายการบินนกสกู๊ตขอเสนอโปรโมชั่นสุดพิเศษจากกรุงเทพฯ บินตรงสู่โตเกียว ด้วยราคาในที่นั่งชั้นประหยัดเริ่มต้นเพียง 2,777 บาท ต่อเที่ยวบินรวมภาษี โดยโปรโมชั่นนี้สามารถเดินทางได้ในช่วงวันที่ 1 มิถุนายน ถึงวันที่ 27 ตุลาคม 2561 และสามารถเริ่มจองตั๋วเที่ยวบินในราคาพิเศษนี้ภายในวันที่ 23-25 เมษายน 2561 ที่จะถึงนี้

                 สายการบินนกสกู๊ต จะให้บริการเที่ยวบินจากกรุงเทพฯ ไปยังสนามบินนาริตะด้วยโบอิ้ง 777-200 เครื่องบินประเภทสองทางเดินที่มีลำตัวกว้าง โดยมีที่นั่งทั้งหมด 415 ที่นั่ง แบ่งเป็นชั้นธุรกิจ 24 ที่นั่ง และชั้นประหยัด 391 ที่นั่ง ผู้โดยสารของนกสกู๊ตสามารถเลือกการเดินทางที่เหมาะสมสำหรับตัวเองได้ เช่น การเลือกอาหารที่ตัวเองชอบ หรือการเลือกที่นั่งที่คุณต้องการ ทั้งยังสามารถเลือกโหลดสัมภาระเพิ่มเติมตามความต้องการ

            เอโกะ โอะนุมะ ผู้อำนวยการบริหารขององค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (เจเอ็นทีโอ หรือ JNTO) สำนักงานกรุงเทพฯ กล่าวแสดงความยินดีกับสายการบินนกสกู๊ตที่เปิดตัวเที่ยวบินสู่สนามบินนาริตะ ในโตเกียว ซึ่งในการเปิดตัวครั้งนี้ยังจะเป็นการส่งเสริมให้การท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศได้เติบโตไปพร้อมกัน 

               "การท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศทั้งไทยและญี่ปุ่นกำลังเติบโตยิ่งขึ้นกว่าที่เคย เพราะประเทศญี่ปุ่นยังเป็นประเทศที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวไทยเป็นจำนวนมาก เนื่องจากมีวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยว ให้มาเยือนและได้รับประสบการณ์อันหลากหลายและไม่เหมือนใครได้ตลอดทั้งปี ซึ่งการที่สายการบินนกสกู๊ตได้เปิดเส้นทางใหม่จากกรุงเทพฯ สู่โตเกียวครั้งนี้ ยังจะเป็นการช่วยกระตุ้นให้เกิดความต้องการ ในส่วนของการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ และองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น มีความเต็มใจเป็นอย่างยิ่งที่จะร่วมส่งเสริมและขอยินดีกับการเปิดเส้นทางในครั้งนี้" คุณเอโกะ โอะนุมะ กล่าวเพิ่มเติม

                   เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นได้ยกเลิกข้อกำหนดในการขอวีซ่าประเภทการพำนักระยะสั้นสำหรับประชาชนคนไทยในปี 2556 ประเทศญี่ปุ่นจึงกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่เติบโตเร็วที่สุดในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทย จากผลการวิจัยล่าสุดของศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) ซึ่งระบุว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศอันดับหนึ่งที่นักท่องเที่ยวชาวไทยนิยมเดินทางไปพักผ่อน โดยในปีที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยเดินทางไปญี่ปุ่นกว่า 987,000 คน และคาดว่าตัวเลขดังกล่าวจะทะยานขึ้นสู่ 1.1 ล้านคนในปีนี้ ซึ่งผลการวิจัยยังรายงานอีกกว่า ร้อยละ 45 ของนักท่องเที่ยวชาวไทยปรารถนาที่จะเดินทางกลับไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นอีกครั้ง

                  ในปีที่ผ่านมาสายการบินนกสกู๊ต ซึ่งเป็นสายการบินร่วมทุนระหว่างสายการบินนกแอร์ของประเทศไทย และสายการบินสกู๊ตของประเทศสิงคโปร์ มีการเติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ปี 2559 รายได้ของบริษัทเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 44 เป็นมูลค่า 5.6 พันล้านบาท (หรือ 175 ล้านเหรียญสหรัฐ) รองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นร้อยละ 37 เป็นจำนวน 1.1 ล้านคน ในขณะที่อัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin factor) เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 87 ซึ่งสูงกว่าปีที่ผ่านมาถึงร้อยละ 8

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ