ข่าว

สินค้าปศุสัตว์ราคาตกวงการเกษตรกลับต้องแก้ปัญหากันเอง

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

สินค้าปศุสัตว์ราคาตกวงการเกษตรกลับต้องแก้ปัญหากันเอง

 

                   จากข้อมูล สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป หรือตัวเลขเงินเฟ้อเดือนตุลาคม 2560 อยู่ที่ 101.38 สูงขึ้น 0.16% จากเดือนกันยายน และเป็นอัตราเงินเฟ้อที่สูงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 เนื่องจากสินค้าหลายรายการปรับราคาสูงขึ้น อาทิ ผักสดและผลไม้ น้ำมันขายปลีก บุหรี่-สุรา และค่าโดยสารเรือ  ขณะที่สินค้าปศุสัตว์ทั้งหมู ไก่ และไข่ไก่กลับลดลง 

                นิพัฒน์ เนื้อนิ่ม   นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรจังหวัดราชบุรี บอกว่า ตอนนี้เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูทั่วประเทศกำลังประสบปัญหาราคาหมูตกต่ำ เพราะราคาประกาศหมูเป็นหน้าฟาร์มลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 5 ติอต่อกัน ปัจจุบันราคาซื้อขายอยู่ที่ 44-45 บาท ขณะที่ต้นทุนเฉลี่ยถีบตัวสูงไปถึง 55 บาทต่อกิโลกรัมแล้ว ทั้งหมดก็เนื่องมาจากหลายปัจจัย ทั้งกำลังการบริโภคที่ตกต่ำ กำลังซื้อของผู้บริโภคถดถอยลงไปมาก ประกอบกับช่วงที่ผ่านมาทั่วประเทศยังมีฝนตกหลายพื้นที่ประสบปัญหาน้ำท่วม ส่งผลให้เกษตรในต้องเร่งระบายหมูออกสู่ตลาดเพื่อลดความเสี่ยง

                 "ขณะเดียวกันอาทิตย์ก่อนก็เป็นช่วงเทศกาลกินเจทำให้การบริโภคเนื้อหมูต่ำลงอย่างชัดเจน เมื่อปริมาณผลผลิตไม่สมดุลกับการบริโภคเช่นนี้ จึงเกิดภาวะหมูล้นตลาด ปริมาณหมูสะสมมีมาก เกษตรกรจำเป็นต้องขายให้กับพ่อค้าคนกลางในราคาต่ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้"

                  นิพัฒน์ ย้ำว่าราคาหมูตอนนี้ลดต่ำลงจนไม่คุ้มทุนแล้ว เกษตรกรจำเป็นต้องขายขาดทุนผูกหางหมู 1,000 บาทต่อตัว แต่ก็ต้องยอมแบกรับภาระเพราะต้องการประคับประคองอาชีพนี้ต่อไปและไม่อยากให้กระทบต่อผู้บริโภค แต่ตอนนี้เป็นห่วงว่าถ้าเกษตรกรไม่สามารถสู้ต่อได้แล้วจะพากันเลิกเลี้ยงหมู ย่อมส่งผลต่อราคาขายในประเทศซึ่งผู้เลี้ยงไม่อยากให้เกิดขึ้น วันนี้เกษตรกรพยายามพูดคุยกันเพื่อวางแผนการเลี้ยงอย่างเป็นระบบป้องกันหมูล้นตลาด ควบคู่กับการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน พร้อมรณรงค์การบริโภคเพิ่มขึ้น ที่สำคัญในภาวะที่ราคาหมูหน้าฟาร์มลดเช่นนี้ ผู้บริโภคควรต้องได้รับประโยชน์โดยตรง จึงขอให้ภาครัฐเข้มงวดกับผู้ค้าเขียงที่ไม่ปรับลดราคาตามหมูเป็นด้วย

                 “ปัจจุบันเกษตรกรหลายรายวิตกกังวลเกี่ยวกับกระแสที่สหรัฐอเมริกากดดันให้ไทย เปิดนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐ ซึ่งภาครัฐมีแนวโน้มจะเปิดรับเนื้อหมูสหรัฐฯที่ใช้สารเร่งเนื้อแดง เรื่องนี้มีผลทางจิตวิทยาทั้งต่อผู้บริโภคและเกษตรกรผู้เลี้ยง ทำให้เกษตรกรเริ่มทยอยเลิกเลี้ยงเพื่อหนีปัญหา โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อยและรายกลางที่ไม่สามารถแข่งขันด้านตลาดได้อย่างแน่นอน เราขอเรียกร้องให้ภาครัฐพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบ และทุกคนยังคงยืนยันคัดค้านอย่างถึงที่สุด เพื่อรักษาอาชีพและปกป้องสุขภาพคนไทยจากอันตรายของสารเร่งเนื้อแดง”

                  ส่วนไก่ไข่ที่วันนี้ได้รับผลกระทบจากภาวะราคาตกต่ำไม่ต่างกัน ยศพงศ์ ถิระวุฒิ กรรมการสมาคมผู้เลี้ยงไก่ไข่ภาคใต้ กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีแม่ไก่ไข่ยืนกรงจำนวน 50.60 ล้านตัว ให้ผลผลิตไข่ไก่เฉลี่ย 15,659 ล้านฟองต่อปี คิดเป็นผลผลิตเฉลี่ย 42.90 ล้านฟองต่อวัน ขณะที่การบริโภคของคนไทยเฉลี่ยเพียง 40.42 ล้านฟองต่อวัน จึงมีไข่ไก่ล้นตลาดอยู่ถึง 2.48 ล้านฟองต่อวัน การไม่สมดุลกันของปริมาณการผลิตและการบริโภคนี้ ทำให้ราคาไข่ไก่ลดลงอย่างต่อเนื่องมาร่วม 2 เดือน ราคาขายไข่คละหน้าฟาร์มปัจจุบันอยู่ที่ 1.80-2.00 บาทต่อฟอง สวนทางกับต้นทุนการผลิตไขไก่ที่สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ระบุไว้ที่ฟองละ 2.80-2.90 บาท ผู้เลี้ยงไก่ไข่จึงต้องแบกรับภาระขาดทุนถึงฟองละเกือบ 1 บาท

                    ทั้งนี้เนื่องมาจากการบริโภคที่ลดลงจากช่วงเทศกาลกินเจ และโรงเรียน-มหาวิทยาลัยปิดภาคเรียน ทำให้เกิดภาวะผลผลิตเหลือบริโภคสะสม เกษตรกรโดยเฉพาะผู้เลี้ยงรายย่อยขาดทุนมานานหลายเดือน เกษตรกรตัดสินใจปลดไก่และพักเล้า และหลายรายจำต้องเลิกกิจการเพราะแบกรับต้นทุนไม่ไหว

                    ยศพงศ์ บอกว่า อุตสาหกรรมไก่ไข่ยังนับว่าโชคดีที่ปัญหากำลังจะได้รับการแก้ไข จากความร่วมมือของทุกภาคส่วน หลังจากที่กรมปศุสัตว์และผู้ผลิตไข่ไก่ทั่วประเทศได้ร่วมกันเร่งแก้ปัญหาและเดินหน้า 2 มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาไข่ไก่ ด้วยการเร่งปลดระวางแม่ไก่ไข่ยืนกรง 2 ล้านตัว พร้อมผลักดันการส่งออกไข่ไก่เพิ่มเป็น 100 ล้านฟองจากมติเดิมที่ 60 ล้านฟอง เพื่อเร่งแก้ปัญหาไข่ไก่ล้นตลาด จะทำให้ปริมาณไข่ไก่ที่ล้นตลาดในปัจจุบันลดลง และสมดุลกับการบริโภค คาดว่าปัญหานี้จะหมดไปภายใน 3 เดือน ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยลดผลกระทบผู้เลี้ยงไก่ไข่รายย่อยได้  ทั้งนี้ กรมปศุสัตว์เตรียมนำเสนอมาตรการต่อคณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ (Egg Board) เพื่อพิจารณาต่อไป

              “ขอฝากถึงภาครัฐว่าในวันที่ไข่ไก่ราคาสูงภาครัฐมาคอยควบคุมราคาไม่ให้กระทบกับผู้บริโภค แต่เมื่อเกษตรกรเดือนร้อนภาครัฐก็ควรเข้ามาช่วยดูแลให้ครบวงจรด้วย รวมถึงการพิจารณามาตรการที่จะช่วยเหลือเราได้ เช่น เรื่องการลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ หรือการนำเข้าวัตถุดิบทดแทนเพื่อให้ต้นทุนค่าอาหารสัตว์ต่ำลง รวมถึงการเร่งรัดโครงการไข่โรงเรียนที่สมาคมผู้เลี้ยงไก่ไข่เสนอไปก่อนหน้านี้ให้สามารถดำเนินการได้โดยเร็วที่จะช่วยบรรเทาปัญหาได้อีกทางหนึ่ง" 

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ