มึนนโยบายรัฐรื้อคดีเก่ากม.ภาษีโทรคมนาคม-สัมปทานมือถือ

          รายงานข่าวในวงการโทรคมนาคมแจ้งกรณีที่สำนักงานอัยการสูงสุดเตรียมตั้งคณะทำงานเพื่อรื้อคดีเก่าของอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ภายหลังการบังคับใช้พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองฉบับใหม่ พ.ศ.2560 ที่ให้อำนาจศาลพิจารณาคดีลับหลังจำเลยที่หนีคดีได้  โดย 1 ในคดีที่คาดว่าจะมีการรื้อฟื้นขึ้นมาก็คือกรณีทุจริตออกกฎหมายแก้ไข พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต จัดเก็บภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมและการแก้ไขสัมปทานสื่อสาร ทั้งที่กรณีดังกล่าวไม่ได้เป็นเรื่องใหม่แต่อย่างใด

             เพราะคณกรรมการป.ป.ช.ได้ดำเนินการไต่สวนจนนำไปสู่การชี้มูลความผิด และดำเนินคดีกับอดีตนายกฯ ไปจนเสร็จสิ้นแล้ว จึงไม่เข้าใจว่าจะรื้อฟื้นคดีเดิมที่สิ้นสุดไปแล้วกลับขึ้นมาพิจารณาซ้ำได้อีกหรือไม่ 
              นอกจากนี้ ก่อนหน้านี้นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตส.ส.นครนายกฯในฐานะรองประธานอนุกรรมาธิการปราบโกง ของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) ก็เคยออกมาเรียกร้องให้นายกฯและรัฐบาลคสช.เร่งบังคับใช้กฎหมายเรียกคืนความเสียหายตามคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีแก้ไขสัญญาสัมปทานเอไอเอส และกรณีออกฎหมายภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมมาแล้ว
               “ที่จริงเรื่องของการแก้ไขสัมปทานมือถือที่ตั้งป้อมไล่เบี้ยกันมาตลอดนั้น ก็แก้ไขกันจนปรุ แก้ไขกันจนพรุนกันทุกสัมปทาน ทั้งในส่วนขอ.บริษัท กสทโทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือแคท กับค่ายดีแทค และทรูมูฟ  เช่นเดียวกับกรณีการแก้ไขกม.ภาษีสรรพสามิตเพื่อจัดเก็บภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมที่มีการแก้ไขกฎหมายยอมให้บริษัทเอกชนหักภาษีสรรพสามิตออกจากค่าสัมปทานก็เช่นกัน ทุกค่ายต่างก็ปฏิบัติบนหลักการเดียวกันแต่ทั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.)ในอดีต หรือคณะกรรมการป.ป.ช. หน่วยงานตรวจสอบทั้งหลายแหล่ล้วนเอาแต่ไล่เบี้ยกรณีแก้สัมปทานเอไอเอสอยู่เพียงค่ายเดียว ต่างละเลยที่จะพูดถึงอีก 2 ค่ายที่มีการแก้ไข และละเลยที่จะพูดถึงเม็ดเงินที่ค่ายมือถือหักออกจากค่าสัมปทานเหล่านั้นว่าสุดท้ายไปตกอยู่ในมือใคร บริษัทสื่อสารเอกชน หรือจ่ายเข้ารัฐเข้าคลังกันแน่”แหล่งข่าวรายเดิมกล่าว
            เขายังย้ำด้วยว่าที่สำคัญหน่วยงานเหล่านี้ ไม่เคยลงไปศึกษากันเลยว่า เบื้องหน้าเบื้องหลังการผลักดันกฎหมายสรรพสามิตโทรคมนาคมของรัฐบาลในอดีตนั้น เป็นไปเพื่อกีดกันผู้ประกอบการรายใหม่ หรือยังประโยชน์แก่รัฐกันแน่  ไม่มีการตรวจสอบกันเลยว่าผลพวงจากการที่รัฐบาลในชุดต่อมาไปยกเลิกการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวนั้น ได้ทำให้รัฐสูญเสียผลประโยชน์จากภาษีที่ควรจะตกเป็นรายได้รัฐภายหลังสัญญาสัมปทานมือถือทั้งหลายสิ้นสุดลงกันเป็นหมื่นเป็นแสนล้าน
             เพราะหากวันนี้รัฐและกระทรวงการคลังยังคงภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมดังกล่าว  อาจมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมที่ว่านี้เป็นแสนล้านบาทได้อีก รัฐบาลคงไม่ต้องมาออกกฎหมายไล่เบี้ยจัดเก็บหาบเร่ แผงลอย ไปจนถึงจัดเก็บค่าใช้น้ำในภาคการเกษตร หรือจ่อจะต้องขยายฐานภาษีไปไล่เบี้ยเอากับโลกโซเชียลออนไลน์ทั้งหลาย
            นอกจากนี้ผลพวงจากการปลุกผีกรณีดังกล่าว ยังอาจกระทบไปถึงความพยายามของทีโอทืและแคท ที่กำลังเร่งดำเนินการฟื้นฟูกิจการด้วยการดึง บริษัทเอไอเอส และดีแทค เข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรธุรกิจใมนการร่วมทำตลาดเสาสื่อสารและอุปกรณ์โทรคมนาคมอีกด้วย