บอร์ดทอท.ลุยพัฒนาที่ดิน 2 แปลงมูลค่ากว่าหมื่นล้าน 

 

นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ทอท. ที่มีนายประสงค์ พูนธเนศ เป็นประธานวานนี้ (20 ก.ย.) ว่า บอร์ด ทอท. มีมติเห็นชอบการกำหนดอัตราค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ที่ราชพัสดุแปลงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินกิจกรรมเชิงพาณิชย์ของ ทอท. ดังนี้

การคำนวณค่าตอบแทนย้อนหลัง 5 ปี (รอบปีงบประมาณ 2556–2560) ให้คำนวณตามฐานของสัญญาเดิม ปรับเพิ่มขึ้นตามค่าเฉลี่ยดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (Average Headline CPI)ซึ่งจะทำให้ ทอท. ต้องชำระค่าตอบแทนย้อนหลัง 5 ปี ไม่เกิน 1,400 ล้านบาท

สำหรับปีงบประมาณ 2561-2565 ให้คำนวณค่าตอบแทนจากมูลค่าทรัพย์สิน (Return on Asset : ROA) เพิ่มเติมจากวิธีการส่วนแบ่งรายได้ (Revenue Sharing) โดยทรัพย์สินเชิงพาณิชย์จะคิดROAในอัตรา 3%ของมูลค่าทรัพย์สิน, ทรัพย์สินที่เป็นพาณิชย์บริการ (Free Zone)จะคิดROAในอัตรา 0.01%หรือประมาณ7แสนบาทต่อปีและพื้นที่ว่างเปล่าแปลง 37 ขนาด 900 ไร่ จะคิดROAในอัตรา 2%หรือ 100 ล้านบาท

เมื่อรวมทั้ง 3 ส่วน ทอท. ต้องจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ธนารักษ์ประมาณ 900 ล้านบาทต่อปี ตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป และจะปรับค่าตอบแทนROAเพิ่มขึ้น 9%ทุก ๆ 3 ปี

สำหรับการพัฒนาพื้นที่ว่างเปล่า แปลง37 ที่ประชุมมีมติให้ดำเนินการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ 9 กิจกรรม ได้แก่1.โรงแรม2.การขนส่งและโลจิสติกส์3.สำนักงานและศูนย์ธุรกิจ4.ร้านค้าและศูนย์การค้า5.การท่องเที่ยวและนันทนาการ6.การประชุม สัมมนา และนิทรรศการ7.ที่พักอาศัย8.การกีฬา และ9.การรักษาพยาบาล

โดยหลังจากนี้จะเปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชนว่าสนใจในกิจกรรมใดบ้าง จากนั้นจะเปิดให้เอกชนเสนอรูปแบบการทำกิจกรรมต่างๆ และคาดว่าภายในต้นปี 2561น่าจะได้เอกชนเข้ามาพัฒนาพื้นที่ทำกิจกรรมต่างๆ บนพื้นที่แปลง37ทั้งนี้มูลค่าการลงทุนที่จะเกิดขึ้นบนพื้นที่แปลงดังกล่าวจะอยู่ที่ประมาณ5,000ล้านบาท

นอกจากนี้ที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบให้ ทอท. ดำเนินการพัฒนาศักยภาพที่ดินแปลงถนนวัดศรีวารีน้อย723ไร่ ตั้งอยู่บนน ถ.วัดศรีวารีน้อย จ.สมุทรปราการ โดยจะเปิดให้เอกชนเข้ามาร่วมทุน (PPP) เพื่อดำเนินกิจการท่าอากาศยาน หรือขนส่งทางอากาศ ได้แก่ ศูนย์กลางการขนส่งและกระจายสินค้า ศูนย์กลางการประชุมและแสดงสินค้า,ศูนย์จำหน่ายสินค้าจากโรงงาน ศูนย์รวมชุมชนตลาดไทยโบราณและพิพิธภัณฑ์,ศูนย์กลางสำนักงาน และกลุ่มอาคารที่พักอาศัย ซึ่งมูลค่าลงทุนน่าจะไม่ต่ำกว่า5,000ล้านบาท

ทั้งนี้เมื่อรวมพื้นที่แปลง37และแปลงถนนศรีวารีน้อย จะมีมูลค่าการลงทุนรวมไม่ต่ำกว่า1 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่าจะสามารถเพิ่มรายได้ให้กับ ทอท. และรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2561เป็นต้นไป เพราะมีบางกิจกรรมสามารถดำเนินการได้ตั้งแต่ปี2561เช่น สถานีบริการน้ำมัน และศูนย์ทำความสะอาดรถยนต์(คาร์แคร์)

นอกจากนี้ บอร์ดให้นโยบายในกรณีการให้สัมปทานผู้ประกอบการร้านค้าปลอดอากร (Duty Free) ครั้งต่อไป เมื่อสัญญาแต่ละท่าอากาศยานสิ้นสุดลงให้ดำเนินการโดยวิธีประมูล โดยในส่วนของจุดส่งมอบสินค้า (Pick Up Counter)ให้เป็นไปในลักษณะใช้ร่วมกัน (Common Use) เช่นเดียวกับที่ดำเนินการ ณ ท่าอากาศยานภูเก็ต

โดยคาดว่าจะเปิดประมูลพิคอัพ เคาน์เตอร์ ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในปี 2562 ก่อนที่สัญญาเช่าพื้นที่ของผู้รับสัมปทานรายเดิม (คิง เพาเวอร์) จะหมดอายุในปี2563 ส่วนร้านค้าปลอดอากรที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ คาดว่าจะเปิดประมูลประมาณเดือน ก.พ. 2561 ก่อนที่สัญญาเช่าพื้นที่ของผู้รับสัมปทานรายเดิมจะหมดอายุสัญญาในเดือน ก.ย. 2563

ที่ประชุมบอร์ดยังอนุมัติให้ยกเว้นค่าบริการลานจอดรถระยะยาวโซนC, DและEในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิระหว่างวันที่19-30ต.ค. นี้ เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชนที่จะเดินทางมาร่วมในพระราชพิธีพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ระหว่างวันที่19-30ต.ค. รวม12วัน ทั้งนี้ ลานจอดรถดังกล่าวมีจำนวนช่องจอดรถยนต์โซนละ718ช่องจอด รวมมีจำนวนช่องจอดที่สามารถรองรับผู้ใช้บริการได้ทั้งสิ้น2,154ช่องจอด

นายนิตินัย ยังกล่าวถึงความคืบหน้าโครงการจัดซื้อพร้อมติดตั้งระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ (Automated People Mover : APM)วงเงิน 2,895 ล้านบาท ของโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เฟส 2 ว่า มีเอกชนยื่นเสนอเพียง 2 ราย ได้แก่ 1.บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือITDและ 2.กิจการร่วมค้า ไออาร์ทีวี ซึ่งประกอบด้วย บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือILINK,บริษัท เรืองณรงค์ จำกัด,บริษัท ไทยอิงเกอร์ จำกัด และบริษัท วิวเท็กซ์ จำกัด คาดว่าภายในสัปดาห์หน้าจะรู้ผลการประมูล