ข่าว

โครงการทวายเดินหน้า คาดเซ็นสัญญาจัดซื้อจัดจ้างเดือนนี้

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

โครงการทวายเดินหน้า อิตาเลี่ยนไทย คาดเซ็นสัญญาจัดซื้อจัดจ้างได้ในเดือนนี้

 นายเปรมชัย กรรณสูต กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือITD กล่าวว่ามีความล่าช้าไปมาก เนื่องจาก 2 ปีก่อนเมียนมามีการเลือกตั้งผู้นำคนใหม่และมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล

บริษัทอิตาเลียนไทย และบริษัทโรจนะ ซึ่งเป็นผู้ชนะในสัญญาสัมปทานโครงการทวายในระยะเฟส 1 มูลค่าโครงการ 3.7 หมื่นล้านบาทเมื่อวันที่ 15 ส.ค.2559 และได้รับอนุมัติจากรัฐบาลเมียนมาช่วงเดือน ก.พ.2560 ซึ่งกำหนดการเดิมนั้นบริษัทจะต้องลงนามสัญญาสัมปทานในเดือนมิ.ย.2560 ล่าสุดได้รับอนุมัติจากรัฐบาลเมียนมาแล้วจะเซ็นสัญญาจัดซื้อจัดจ้างเดือนนี้ ซึ่งจะทำให้เริ่มโครงการเฟสแรกได้ตามกำหนด

กาารลงทุนในเฟสแรกจะลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม สาธารณูปโภค จะพัฒนาบนพื้นที่ 2 หมื่นไร่ จากจำนวนพื้นที่ในโครงการ 1.2 แสนไร่ ตามสัญญาโครงการมีระยะเวลาสัมปทาน 50 ปีและสามารถต่ออายุสัมปทานเพิ่มได้อีก 20 ปี ซึ่งถ้าเริ่มลงทุนได้ก็จะทำให้เริ่มขายพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมเพื่อให้นักลงทุนมาลงทุน โดยคาดว่าอุตสาหกรรมต่างๆ จะมาลงทุนได้ในปี 2562

นายเปรมชัยกล่าวว่า จะเริ่มจะวางระบบในโครงการซึ่งขณะนี้ได้มีโรงงานหลายร้อยรายให้ความสนใจเข้ามาลงทุน โดยมีทั้งนักลงทุนจากไต้หวัน เกาหลีใต้ จีน ญี่ปุ่น เป็นต้น ขณะที่ธุรกิจที่ให้ความสนใจมาลงทุนก็มีทั้งธุรกิจสิ่งทอ อาหาร ซึ่งถ้ามาลงทุนก็จะทำให้เกิดการจ้างงานไม่ต่ำกว่า 60,000-100,000 คน

ส่วนเงินลงทุน 3.7 หมื่นล้านบาทนั้น บางส่วนจะใช้เงินกู้จากธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งอาจกู้จากธนาคารเพื่อการนำเข้าและส่งออกแห่งประเทศไทย

ด้านนายเนวิน สินสิริ ผู้อำนวยการสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) หรือ NEDA กล่าวว่าโครงการท่าเรือน้ำลึกและเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ในประเทศเมียนมายังคงเป็นโครงการที่สำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของภูมิภาคและมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของเมียนมาและของไทยในอนาคต

หากมองในภาพรวมโครงการทวายและโครงการเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) เป็นโครงการที่สนับสนุนกันเพราะสามารถทำให้การผลิตและขนส่งสินค้าสามารถเชื่อมต่อทั้งซัพพลายเชน และท่าเรือทวายก็จะเป็นเส้นทางสำคัญที่จะส่งสินค้าไปยังตลาดอินเดียซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่และมีความสำคัญมากขึ้นในอนาคต

“โครงการทวายกับโครงการอีอีซีเป็นสองโครงการขนาดใหญ่เกื้อหนุนกันไม่ได้เป็นคู่แข่งกัน หากมองในภาพรวมของภูมิภาคทั้งสองโครงการนี้จะช่วยสร้างการเชื่อมโยงของการขนส่ง และการผลิตในภูมิภาค”นายเนวินกล่าว

ปัจจุบัน รัฐบาลเมียนมา ได้มอบหมายให้รัฐมนตรี 2 กระทรวงเป็นผู้รับผิดชอบหลักของโครงการทวาย ได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไฟฟ้าซึ่งจะดูแลนโยบายที่เกี่ยวข้องกับเขตเศรษฐกิจพิเศษของเมียนมาทั้ง 3 แห่ง ได้แก่ เขตเศรษฐกิจพิเศษติลาวา เขตเศรษฐกิจพิเศษจ้าวผิว และเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ส่วนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เมียนมาเป็นผู้ดูแลนโยบายในระดับพื้นที่โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างพิจารณารายละเอียดโครงการที่ได้ดำเนินการมาก่อนหน้านี้ว่าจะต้องมีการปรับเปลี่ยนหรือปรับปรุงในส่วนใดหรือไม่ 

นายเนวิน กล่าวว่าภายหลังการเลือกตั้งและเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในเมียนมาแม้จะยังไม่มีการประชุมคณะกรรมการร่วมไทย-พม่าเพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง (JCC) และคณะกรรมการ ร่วมระดับสูงระหว่างไทย - พม่า เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง (JHC) ระหว่างสองประเทศ แต่ในระดับคณะทำงานของทั้งสองประเทศก็มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลในด้านต่างๆ ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากประเทศญี่ปุ่นโดยเฉพาะองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (ไจก้า) ที่ได้เข้ามาให้คำแนะนำเกี่ยวกับโครงการโดยเฉพาะการปรับปรุงเส้นทางถนนระยะทาง 132 กิโลเมตรจากชายแดนบ้านพุน้ำร้อน จ.กาญจนบุรี ถึงโครงการทวาย ซึ่งจะต้องมีการปรับปรุงเรื่องความลาดชันเพื่อให้เหมาะสมกับการขนส่งสินค้า

การปรับปรุงเส้นทางจะต้องใช้งบประมาณเพิ่มเติมจากเดิมที่ไทยจะปล่อยกู้ให้รัฐบาลเมียนมาไปสร้างถนนเส้นทางดังกล่าว งบประมาณที่เพิ่มเติมญี่ปุ่นอาจให้การช่วยเหลือเงินกู้ผ่านธนาคารเพื่อความร่วมมือแห่งประเทศญี่ปุ่น (เจบิค) หรืออาจกู้เงินจากไทยเพิ่มเติมซึ่งในส่วนนี้ต้องมีการหารือในรายละเอียดอีกครั้ง

นอกจากนี้ทั้งสองประเทศได้มีการหารือถึงความร่วมมือในด้านอื่นๆในพื้นที่ที่ใกล้เคียงกับเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย เช่น ความร่วมมือด้านไฟฟ้า ซึ่งต้องสอดคล้องกับความต้องการไฟฟ้าของเขตตะนาวศรีซึ่งเป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมทวาย โดยในระยะแรกอาจมีการซื้อไฟฟ้าจากประเทศไทยเพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น และในระยะต่อไปหากมีการผลิตไฟฟ้าในพื้นที่โครงการทวายได้ก็อาจจะมีการขายไฟฟ้ามายังประเทศไทยซึ่งได้มีการหารือในหลักการร่วมกันในเบื้องต้น

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ