ข่าว

ปีระกา ราคายาง‘ติดปีก’

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

คอลัมน์ ช่วยกันคิด ช่วยกันคุย โดย...ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี

 

            ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี ประเมินปี 2560 ราคาเฉลี่ยยางแผ่นดิบ 60.0 บาทต่อกก. เพิ่มขึ้น 24% จากราคาเฉลี่ย 48.4 บาทต่อกก.ปีก่อน เหตุจากจีนใช้นโยบายลดภาษีรถยนต์ขนาดเล็กเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ทำให้ยอดขายรถยนต์ในจีนปีที่ผ่านมาทะลุ 24 ล้านคันเป็นครั้งแรก เร่งการใช้ยางพาราเพื่อผลิตล้อยางรถยนต์ของโรงงานในจีน จนระดับสต็อกยางภาคเอกชนเมืองชิงเต่าลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคายางพาราซึ่งเคยขายได้ที่ราคาเฉลี่ย 35 บาทต่อกก. (3 โล 100) เมื่อเดือนมกราคม 2559 ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงขณะนี้ สอดคล้องกับราคาน้ำมันดิบตลาดโลก ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่ดันราคายางให้สูงอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นแรงส่งให้ราคายางทะยานอย่างต่อเนื่อง

            จากปัจจัยภายนอกประเทศที่เกื้อหนุนทั้งความต้องการยางจากจีนและราคาน้ำมัน ผนวกกับปัจจัยภายในประเทศ คือนโยบายควบคุมปริมาณยางพาราของภาครัฐที่ได้ดำเนินการต่อเนื่องตลอดระยะ 3-4 ปีที่ผ่านมา ทำให้ปริมาณผลผลิตยางของไทยอยู่ที่ระดับประมาณ 4.5 ล้านตันต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ขณะที่เหตุการณ์น้ำท่วมภาคใต้และฝนตกต่อเนื่องภาคใต้ทำให้ปริมาณผลผลิตยางธรรมชาติลดลง 281,100 ตัน หรือคิดเป็น 7.1% ของปริมาณผลผลิตทั้งประเทศทั้งปี ยิ่งเป็นปัจจัยเสริมระยะสั้นให้ราคายางพาราพุ่งต่อเนื่อง โดยราคายางแผ่นดิบล่าสุดอยู่ที่ 87.3 บาทต่อกก. สถานการณ์ราคาขณะนี้เรียกว่าเป็น “หนังคนละม้วน” เมื่อเทียบกับสถานการณ์ต้นปีก่อน

            ราคายางที่สูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้รายได้ชาวสวนยางภาคใต้เพิ่มขึ้นเกือบ 1.5 หมื่นล้านบาทจากปีก่อน และเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เศรษฐกิจภาคใต้ฟื้นตัวจากน้ำท่วมได้เร็วยิ่งขึ้น ผ่านการเร่งจับจ่ายใช้สอยของชาวสวนยาง ซึ่งเป็นฐานกำลังบริโภคที่สำคัญของเศรษฐกิจในพื้นที่ เพื่อฟื้นฟูสภาพความเป็นอยู่ให้กลับสู่ภาวะปกติ นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสให้ภาครัฐสามารถทยอยระบายสต็อกยางจากการใช้มาตรการช่วยเหลือชาวสวนยางในอดีต ไม่ให้เป็นปัจจัยกดดันราคายางในอนาคตอีกด้วย

            อย่างไรก็ตาม ราคายางที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา อาจเริ่มชะลอความร้อนแรงลงบ้าง เนื่องจากสต็อกยางเมืองชิงเต่าเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากระดับต่ำสุดใกล้แตะ 1 แสนตันช่วงกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา เนื่องจากการสิ้นสุดมาตรการลดภาษีรถยนต์ของจีนระยะแรก (ลดภาษีเหลือ 5%) และขณะนี้เป็นระยะที่สองของมาตรการดังกล่าว (ลดภาษีเหลือ 7.5%) และสิ้นสุดมาตรการระยะที่สองปลายปีนี้ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ได้ปรับขึ้นต่อเนื่องใกล้เคียงกับราคาประมาณการณ์ปีนี้แล้ว โอกาสที่ราคาน้ำมันดิบจะไปต่อจึงมีโอกาสน้อยลง 

            ส่งผลให้ทิศทางราคายางขาขึ้นรอบนี้ ไม่อาจสร้างประวัติศาสตร์ "ราคาสูงสุด” ใหม่ที่เคยทำไว้เมื่อกว่า 5 ปีก่อนได้ แต่ก็ถือเป็นระดับที่น่าพึงพอใจที่ทำให้เกษตรกรและเศรษฐกิจภาคใต้สามารถขยายตัวได้อย่างมีเสถียรภาพ ดังนั้น ภาครัฐจึงควรคงมาตรการควบคุมพื้นที่เพาะปลูกยางที่เคยดำเนินมาในอดีต ยกประสิทธิภาพและต้นทุนการปลูกยาง รวมถึงส่งสริมการลงทุนอุตสาหกรรมยางปลายน้ำ เพื่อให้เกิดการใช้วัตถุดิบยางพาราในประเทศเพิ่มขึ้นเพื่อเสริมให้ราคายางในประเทศมีเสถียรภาพในอนาคต

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ