กพช.เห็นชอบทบทวนอัตรารับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ต้นทุนการผลิตลดลง เคาะที่ 4.12 บาทต่อหน่วย สั่งกำหนดเป้าหมายและแผนรับซื้อให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาพลังงานทดแทน
พลเอกอนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) อนุมัติทบทวนอัตราการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในรูปแบบFeed-in Tariff (FiT) สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) เนื่องจากปัจจุบันต้นทุนการผลิตไฟฟ้าปรับตัวลดลงมาก เป็นผลจากราคาแผงเซลล์แสงอาทิตย์และอุปกรณ์อื่นๆ ที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าลดลง โดยได้เห็นชอบอัตรารับซื้อที่ระดับ 4.12 บาทต่อหน่วย ระยะเวลา 25 ปี ขณะที่มี FiT premium สำหรับโครงการในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ตลอดอายุโครงการ อีกจำนวน 0.50 บาทต่อหน่วย
ทั้งนี้ มอบหมายให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ออกระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในรูปแบบ FiT รวมทั้งดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดเป้าหมายและแผนการรับซื้อไฟฟ้าดังกล่าวให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP 2015) และนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาต่อไป
ที่ประชุม กพช.ยังได้รับทราบผลการเจรจาล่าสุดในการปรับลดราคาและทบทวนเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องในร่างสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ แอลเอ็นจีระยะยาว ระหว่างบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กับบริษัท เชลล์ อีสเทิร์น เทรดดิ้ง จำกัด (SHELL EASTERN TRADING (PTE) LTD.) และบริษัทบีพี สิงคโปร์ จำกัด (BP SINGAPORE PTE.LIMITED) ในปริมาณรายละ 1 ล้านตันต่อปี รวม 2 ล้านตันต่อปี เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน โดยคิดเป็นมูลค่าที่ปรับลดลงตลอดอายุสัญญา รวมกันทั้งสอง สัญญาประมาณ 1.15 แสนล้านบาท
นอกจากนี้กพช.ยังได้เห็นชอบให้กระทรวงพลังงานขยายเวลาในการคัดเลือกผู้ดำเนินการสัมปทานปิโตรเลียม โดยการเปิดแข่งขันยื่นข้อเสนอเป็นการทั่วไปให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2560 เนื่องจากการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับร่างพ.ร.บ.ปิโตรเลียม และร่างพ.ร.บ.ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ซึ่งจากการขอขยายระยะเวลาในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ทั้งสองฉบับ ของคณะกรรมาธิการวิสามัญได้ขอขยายระยะเวลามา 2 ครั้ง โดยจะครบกำหนดขยายระยะเวลาครั้งที่ 2 ในวันที่ 21 ตุลาคม 2559
พลเอกอนันตพรกล่าวต่อว่าที่ประชุม กพช. ยังเห็นชอบกำหนดนโยบายการนำส่งเงินเข้ากองทุนพัฒนาไฟฟ้า สำหรับผู้รับใบอนุญาตผลิตไฟฟ้าจากลมร้อนทิ้งในอัตรา 1 สตางค์ต่อหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้ในแต่ละเดือน เช่นเดียวกับพลังงานหมุนเวียนประเภทอื่นๆ เนื่องจากการผลิตไฟฟ้าจากลมร้อนทิ้ง ถือว่าเป็นการประกอบกิจการผลิตไฟฟ้า ตามพ.ร.บ.การประกอบกิจการพลังาน พ.ศ.2550 และต้องได้รับใบอนุญาตจากกกพ. จึงอยู่ในข่ายที่ต้องนำเงินส่งเข้ากองทุนพัฒนาไฟฟ้าเช่นเดียวกับโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงในรูปแบบอื่นๆ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง