ข่าว

ตรวจแถวปัญหา'รถคันแรก'

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ตรวจแถวปัญหา 'รถคันแรก' สรรพสามิตดึงเช่าซื้อเยียวยายืดหนี้ก่อนไล่ยึด : ณัฎฐ์ชิตา เกิดแดง ... รายงาน

 

                         จากกระแสข่าวการขอยกเลิกสิทธิคืนเงินภาษีรถยนต์คันแรกกว่า 2,000 คนหรือคัน จากปัญหาที่หลายอย่าง ทั้งผิดเงื่อนไข เปลี่ยนใจทิ้งใบจอง หรือไม่สามารถผ่อนต่อไหวหรือถือครองได้ครบ 5 ปีตามเงื่อนไขที่รัฐบาลกำหนด ทำให้มีการมองกันว่าโครงการรถยนต์คันแรกอาจจะเป็นการสร้างความต้องการเทียม และทำให้สร้างหนี้สินเกินตัวจนผ่อนไม่ไหว ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นมาก

                         ประกอบกับขณะนี้รถยนต์คันแรกมีการส่งมอบไปแล้วเพียง 8 แสนคัน จากจำนวนที่ยื่นเข้าโครงการทั้งสิ้น 1.25 ล้านคัน และภาคเอกชนหรือผู้ประกอบการรถยนต์ก็ออกมาส่งสัญญาณว่ามีรถยนต์ค้างที่โชว์รูมจำนวนมาก เนื่องจากผู้จองขอเลื่อนรับรถ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหาเงินดาวน์ไม่ทัน ซึ่งผู้ประกอบการประเมินว่าอาจมีการทิ้งใบจองรถยนต์สูงถึง 2-3 แสนคัน

                         ในอีกทางหนึ่งกรมสรรพสามิตในฐานะผู้คืนเงินภาษีให้ผู้เข้าโครงการรายละไม่เกิน 1 แสนบาท ก็ต้องติดตามทวงเงินหลวงคืนสำหรับรายที่ได้รับเงินคืนไปแล้ว แต่ทำผิดเงื่อนไขที่กำหนดไว้ อย่างไรก็ตาม ปัญหาด้านข้อมูลที่ไม่ชัดเจนเป็นเหตุให้มีกระแสข่าวความไม่พอใจที่ไปทวงเงินคืนจากผู้เสียชีวิตก่อนหน้านี้ จนกรมสรรพสามิตต้องตกเป็นผู้ร้ายในสายตาของสังคม

 

จี้ลิสซิ่งส่งข้อมูลป้องกันผิดพลาด

 

                         นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวยอมรับว่า การทวงเงินคืนจากผู้เสียชีวิตที่ จ.อ่างทอง ที่เป็นข่าวนั้น เป็นเพราะกรมไม่มีข้อมูลว่าผู้ซื้อรถยนต์เสียชีวิตไปก่อนจะได้รับสิทธิคืนเงิน ซึ่งกำหนดต้องถือครองรถยนต์ครบ 1 ปี และเมื่อเวลาผ่านไปกรมบัญชีกลางได้โอนเงินเข้าบัญชีให้ไปจนทางครอบครัวนำเงินไปใช้แล้วเจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิตจึงมาทราบภายหลังว่าเจ้าของรถยนต์เสียชีวิตก่อน 1 ปี จึงได้ส่งหนังสือทวงถามเรื่องให้นำเงินมาคืน

                         “เรื่องนี้ได้ตำหนิเจ้าหน้าที่หน้างานไปแล้วว่า บางครั้งก็ต้องดูสถานการณ์ก่อน กรณีเสียชีวิตอาจผ่อนผันเรื่องเวลาได้บ้าง เพราะทางครอบครัวเสียใจอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อได้จดหมายทวงเงินอีกจึงยิ่งรู้สึกไม่ดี หากมีกรณีเช่นนี้ขอให้ทิ้งระยะเวลาไปหน่อย แต่กรณีที่อ่างทองเข้าใจว่ามีการไปชี้แจงข้อมูลและเงื่อนไขให้ทางครอบครัวผู้เสียชีวิตรับทราบและยอมคืนเงินให้แล้ว ส่วนจะคืนอย่างไรก็ต้องว่ากันไปตามความเหมาะสม” นายสมชายกล่าว

                         ส่วนกรณีที่ถูกตั้งคำถามว่า การถือครองรถยนต์เพื่อให้ได้รับเงินคืนตามเงื่อนไขนั้น ต้องห้ามตายด้วยหรือไม่ เรื่องนี้กรมสรรพสามิตขอชี้แจงว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ระบุไว้ชัดเจนว่ากรณีที่จะได้รับเงินคืนคือ ต้องถือครองรถยนต์ครบ 1 ปีนับตั้งแต่วันที่ได้รับการส่งมอบรถยนต์และห้ามจำหน่าย จ่ายโอนภายใน 5 ปีหากไม่สามารถทำตามเงื่อนไขที่กำหนดได้ก็ต้องนำเงินมาคืน ยกเว้นกรณีเสียชีวิต หากเสียชีวิตก่อนได้รับเงินคืนก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าได้รับเงินคืนไปแล้วและถือครองครบ 1 ปีแล้ว ทางครอบครัวก็ไม่ต้องนำเงินมาคืน

                         "แต่หากเสียชีวิตก่อนครบปีและเผอิญได้เงินคืนไปจากความผิดพลาดของข้อมูลถือก็ให้ถือว่าเป็นลาภที่ไม่ควรจะได้ จึงขอให้นำเงินมาคืน รวมถึงกรณีประสบอุบัติเหตุหรือรถพังเสียหายต้องการขายเปลี่ยนมือก็ต้องนำเงินมาคืนเช่นเดียวกัน จึงอยากทำความเข้าใจกับผู้ที่เข้าร่วมโครงการทุกรายด้วย" นายสมชายกล่าว

                         อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอยอีก จึงประสานงานไปทางบริษัทเช่าซื้อรถยนต์หรือลิสซิ่ง ซึ่งจะเป็นผู้ที่ทราบข้อมูลของผู้ผ่อนส่งดีที่สุด โดยขอให้แจ้งข้อมูลสถานะของผู้กู้ที่อัพเดทเข้ามาที่กรมด้วย เพื่อกรมจะได้เร่งดำเนินการหากยังไม่จ่ายเงินเข้าบัญชีจะได้สั่งระงับทัน เพื่อไม่ให้ทางครอบครัวเสียความรู้สึกและต้องไปเข้าสู่กระบวนการติดตามทวงเงินคืนภายหลังให้ยุ่งยากเสียเวลา

 

เร่งหามาตรการเยียวยาคนผ่อนไม่ไหว

 

                         อธิบดีกรมสรรพสามิตกล่าวถึงตัวเลขการขอยกเลิกเข้าโครงการล่าสุดเมื่อวันที่ 25 มีนาคม ที่ผ่านมา ซึ่งมีจำนวนกว่า 2,000 คนหรือ 2,000 คันนั้น หากพิจารณาลงในรายละเอียดแล้วจะพบว่ามีหลายสาเหตุ ไม่ใช่มาจากกรณีผ่อนไม่ไหวจนถูกไฟแนนซ์ตามยึดรถ บางรายอาจจะรอรถไม่ไหว เพราะบางยี่ห้อจองไปแล้วกว่าจะได้รับรถก็ต้นปี 2557 เมื่อมีรถใหม่ๆ ออกมาสู่ตลาดจึงอาจทิ้งใบจองเปลี่ยนไปซื้อรถรุ่นอื่นแทน แต่ยอมรับว่าอาจมีบ้างที่ผ่อนส่งไม่ไหว ซึ่งส่วนนี้กรมสรรพสามิตได้เรียกบริษัทเช่าซื้อ หรือ ลิสซิ่งมาหารือแล้ว เพื่อขอความร่วมมือในการผ่อนปรนหรือช่วยเหลือลูกค้าที่กู้เงินซื้อรถให้สามารถอยู่ในโครงการได้ต่อไปมากที่สุด

                         “กรมเองก็ได้รับนโยบายมาจากกระทรวงการคลังให้ตั้งคณะทำงานเข้าไปดูปัญหาเป็นรายกรณีๆ ไป เมื่อเร็วๆ นี้ จึงหารือกับลิสซิ่งทั้งหมดที่ปล่อยกู้ในโครงการเพื่อขอความร่วมมือให้ผ่อนปรนเงื่อนไขการยึดรถกว่าปกติ เช่น หากขาดส่งเกิน 2 เดือน ก็อาจจะเรียกมาคุยก่อนที่จะไล่ยึดรถเหมือนที่ผ่านมา หรือบางรายผ่อนเดือนเว้นเดือนก็ควรเรียกมาหารืออาจจะยืดหนี้ออกไป หรือรีไฟแนนซ์หนี้ให้ได้หรือไม่ เพราะจากจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการถยนต์คันแรกพบว่า มีถึง 70% ที่ผ่อนส่งค่างวดรายเดือนมีเพียง 30% เท่านั้นที่ซื้อเงินสด ซึ่งจากการหารือก็มีกระแสตอบรับที่ดี”

                         นายสมชาย กล่าวว่า ตามปกติแล้วลิสซิ่งสามารถรับความเสี่ยงหรือเกิดหนี้เสียได้ถึง 5% แต่โครงการรถยนต์คันแรกยังไม่เห็นสัญญาณของการเกิดหนี้เสียจนน่าเป็นห่วงแต่อย่างไร ที่บริษัทลิสซิ่งรายงานเข้ามานั้นมีการยึดรถมาแล้วไม่ถึงร้อยคัน ส่วนที่กรมทำหนังสือแจ้งให้นำเงินมาคืนก็มีประมาณ 10 กว่าราย และที่ส่งเรื่องไปถึงกรมบัญชีกลางให้ดำเนินการฟ้องร้องเรียกเงินคืนก็มีเพียง 1-2 รายเท่านั้น

                         อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อาจยังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบของโครงการ เพราะยังส่งรถไม่ครบตามจำนวน 1.25 ล้านคัน และมองว่าไม่น่าจะมีการทิ้งใบจองมากถึง 2-3 แสนคัน อย่างที่เป็นข่าว เพราะคนซื้อรถคันแรกที่มาใช้สิทธิ์ส่วนใหญ่ดูมีความตั้งใจจริงที่จะมีรถใช้ แม้บางรายจะมีการขอยืมชื่อ หรือสวมสิทธิ์รถคันแรกบ้างก็เป็นคนในครอบครัว เช่น พ่อซื้อให้ลูก หรือเป็นญาติพี่น้องกัน กรณีนี้ไม่น่ามีปัญหาอะไร ซึ่งจริงๆ คงตรวจสอบไม่ได้ว่าสวมสิทธิ์หรือไม่ และถือเป็นความตั้งใจของกรมที่จะช่วยเหลือให้ประชาชนได้มีรถคันแรกใช้อยู่แล้ว แต่หากจะขอยกเลิกการใช้สิทธิ์มากขึ้นก็ทำให้รัฐคืนเงินภาษีน้อยลงตามไปด้วย

                         “ใครจะวิพากษ์วิจารณ์อย่างไรก็ว่ากันไป แต่ได้กำชับเจ้าหน้าที่ไปว่า กรมสรรพสามิตต้องทำหน้าที่ให้ดี โดยเฉพาะการให้บริการประชาชน ซึ่งสามารถวัดได้ที่ความถึงพอใจในการใช้บริการ เพราะโครงการนี้ก็มีทั้งข้อดีข้อเสียอย่างที่รู้ๆ กัน เช่นทำให้มีเงินสะพัดจากการซื้อขายรถกว่าล้านคันทำให้จีดีพีโตขึ้นถึง 1% และขณะนี้มีเงินกลับไปสู่มือเจ้าของรถยนต์แล้วเกือบแสนรายกว่า 6.8 พันล้านบาท ซึ่งกว่ากรมจะคืนเงินได้จนครบทุกคันคงเป็นต้นปี 2558 ส่วนเงินที่ใช้คืนภาษีนั้น กรมบัญชีกลางดูแลได้ ไม่มีปัญหาอะไร แต่ที่มองว่ายิ่งสร้างปัญหารถติดก็อาจมีบ้าง เพราะเป็นรถที่ซื้อใน กทม.และปริมณฑลถึง 26%”

                         รายงานข่าวจากกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า จากตัวเลขการขอยกเลิกเข้าโครงการรถคันแรก วันที่ 25 มีนาคม ที่ผ่านมา พบว่ามีจำนวนทั้งสิ้น 2,473 ราย มาจากไม่ต้องการใช้สิทธิ์ หรือน่าจะเป็นการทิ้งใบจองประมาณ 594 ราย มาจากสาเหตุที่ต้องการขายหรือโอนรถอีก 308 ราย ต้องการเปลี่ยนยี่ห้อรุ่นรถหรือเปลี่ยนใบจองอีก 156 ราย ไม่ผ่านไฟแนนซ์หรือมีปัญหาทางการเงิน 129 ราย รถเกิดอุบัติเหตุหรือสูญหายอีก 229 ราย เสียชีวิต 43 ราย มาจากการส่งมอบรถไม่ทัน มีปัญหาสุขภาพหรือปัญหาครอบครัวอีก 148 ราย ที่สำคัญมีการบันทึกข้อมูลผิดพลาด หรือเปลี่ยนแปลงข้อมูล 498 ราย ซึ่งส่วนนี้น่าจะกลับเข้ามาอยู่ในโครงการตามเดิม แต่ที่มีปัญหาผิดเงื่อนไขก็มีไม่น้อยรวมกัน 352 ราย

 

 

---------------------
 

(ตรวจแถวปัญหา 'รถคันแรก' สรรพสามิตดึงเช่าซื้อเยียวยายืดหนี้ก่อนไล่ยึด : ณัฎฐ์ชิตา เกิดแดง ... รายงาน)

 

 

 

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ