พระเครื่อง

พระยอดกตัญญูวางแผนสึกหวั่นสังคมครหาทำนา

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

พบพระเมืองพิจิตรยอดกตัญญู อาศัยช่วงว่างจากกิจสงฆ์กลับบ้านทำนา ทำอาหารเลี้ยงโยมพ่อโยมแม่ ที่ป่วยจนไม่สามารถดูแลตัวเองได้ เป็นประจำทุกวัน วางแผนสึกหวั่นสังคมครหา

               เรื่องราวพระยอดกตัญญู บวชเรียนมาเป็นเวลานาน  5 ปีแล้ว แต่ทนดูพ่อแม่ลำบากไม่ไหวจึงตัดสินใจทำนาเลี้ยงบุพการีไม่ให้เป็นภาระของสังคม  ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าที่บ้านโพธิ์งาม เลขที่ 119 หมู่ 4  ต.ป่ามะคาบ อ.เมือง จ.พิจิตร มีพระสงฆ์ยอดกตัญญูรูปหนึ่งออกไปไถนา สูบน้ำกลางแสงแดดที่แผดเผา จึงเดินทางไปที่บ้านดังกล่าว

               พบพระสมชาย ฉันทธัมโม อายุ 32 ปี พระลูกวัดโพธิ์งาม  ซึ่งบวชมา   5 พรรษาแล้ว กำลังง่วนอยู่กับการทำนา

               พระสมชาย กล่าวว่า อาตมาต้องกลับมาบ้านมาคอยตรวจสอบและดูแลข้าวในนา พร้อมทั้งเพื่อดูแลโยมพ่อ  คือ นายถวิล แสงสี อายุ 66 ปี ซึ่งป่วยเป็นโรควิงเวียนศีรษะอยู่เป็นประจำ และแม่คือ นางน้อย แสงสี อายุ 65 ปี  ป่วยเป็นโรคเส้นโลหิตในสมองแตก ทั้งคู่ไม่สามารถทำงานหนักได้

               "โยมพ่อกับโยมแม่ เริ่มป่วยหลังจากที่อาตมาบวชมา 4 พรรษาแล้ว โดยโยมแม่เริ่มป่วยก่อนด้วยโรคเส้นโลหิตในสมองแตก เมื่อประมาณเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2553 โยมแม่มีอาการหนักต้องเข้ารับการผ่าตัดถึง 2 ครั้ง จึงสามารถช่วยชีวิตไว้ได้ แต่หลังจากออกโรงพยาบาลโยมแม่ไม่สามารถทำงานหนักได้เหมือนเคยและมีอาการหลงลืม แม้กระทั่งว่าทำกับข้าวก็ไม่รู้ว่าจะใส่อะไรก่อนหลัง บางครั้งลืมแม้กระทั่งว่ากินข้าวหรือยัง และหลังจากที่แม่ป่วย โยมพ่อก็มาป่วยตามอีกคน อาตมาพยายามรักษาโดยการนำไปโรงพยาบาลทั้งในจังหวัดและต่างจังหวัดก็หาสาเหตุไม่ได้"พระสมชาย กล่าวและว่า

               หลังจากโยมพ่อป่วยอีกคนทำให้ทั้งโยมพ่อและโยมแม่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ อาตมาจึงต้องคอยดูแล โดยโยมแม่ช่วงแรกจะอาการหนักเนื่องจากเหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ต้องคอยอาบน้ำ ป้อนข้าว ส่วนโยมพ่อ ไม่สามารถทำงานหนักได้ อาตมาจึงต้องทำแทน ไม่ว่าจะเป็นการทำนา จำนวน 10 ไร่ ซึ่งเป็นรายได้หลักของครอบครัว โดยจะทำเองบ้างหากไม่ไหวก็ใช้วิธีการจ้างชาวบ้านในการ ไถ หว่านและฉีดยา ส่วนการสูบน้ำ ดูแลข้าว จนเป็นหน้าที่ของอาตมาที่ว่างจากกิจของสงฆ์

               พระสมชาย กล่าวต่อว่า หลังจากพยายามดูแลทั้งโยมพ่อ โยมแม่ มาเกือบปี อาการของโยมยังทรงอยู่ แต่อาการของโยมแม่ดีขึ้น ปัจจุบันสามารถช่วยตัวเอง เช่น อาบน้ำได้แล้ว แต่ยังไม่สามารถทำอาหารเองได้ อาตมาพยายามหัดให้โยมแม่ทำกับข้าวเพื่อให้สามารถกลับมามีความปกติเหมือนเดิม ทำให้ทุกวันนี้ซึ่งในแต่ละวันก่อนออกบิณฑบาตจะกลับบ้านมาทำกับข้าวให้กับโยมพ่อ โยมแม่ คอยเตรียมสำรับกับข้าวไว้ให้ทั้งสองคน จากนั้นก็จะไปทำกิจของสงฆ์ที่วัดซึ่งอยู่ใกล้กับบ้าน สลับกับการมาดูแลโยมพ่อ โยมแม่ และการดูแลนาข้าว ช่วงเย็นจะมาทำกับข้าวให้อีกรอบหนึ่ง แม้ว่าเป็นพระจะไม่ฉันข้าวตอนเย็นก็จะต้องทำกับข้าวเพื่อให้ โยมพ่อ โยมแม่ได้รับประทาน

               พระสมชาย กล่าวด้วยว่า สิ่งที่กังวลก็คือ ความรู้สึกของประชาชนทั่วไปที่มองพระที่ต้องออกมาทำนา แต่หากปล่อยพ่อปล่อยแม่ไว้ตามลำพัง ก็จะกลายเป็นภาระทางสังคม อีกทั้งอาตมาถือว่าพ่อแม่ คือ พระอรหันต์ของลูก ส่วนที่ชาวบ้านอาจจะมองเราทั้งใจที่เป็นกุศลและอกุศล ส่วนคำถามที่ถามว่า ทำไมไม่สึกไปดูแล โยมพ่อ โยมแม่เสียเลย ก็ต้องบอกว่าวางแผนไว้แล้วเหมือนกันว่าจะต้องสึก แม้จะรู้สึกเสียดายต่อสมณเพศที่เลื่อมใสศรัทธา แต่หากจะดูแลต่อไปอย่างนี้แม้ใครไม่ว่าก็คงไม่เหมาะนัก แต่ตามความเชื่อของคนไทย ตอนนี้อาตมารอฤกษ์ที่จะลาสิกขาออกมาเท่านั้นเพราะคนไทยเชื่อถือฤกษ์ยามเป็นเรื่องสำคัญ จากที่สอบถามอาจารย์ผู้รู้บอกว่า ฤกษ์ดีคือการลาสิกขาบท คือ ต้นเดือนพฤษภาคม อาตมาจึงต้องอยู่ดูแล โยมพ่อ โยมแม่ทั้งที่เป็นพระนี้ก่อน ในช่วงระหว่างรอการลาสิกขาบท

               ด้านนางน้อย กล่าวว่า หลังจากป่วยมีปัญหาเรื่องความจำ ทำกับข้าวยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรพยายามนึก 1-3 วันยังนึกไม่ออก ก็มีพระสมชายที่คอยดูแล สงสารลูกพระเหมือนกันแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะพ่อก็ป่วย แม่ก็ป่วย ทุกวันนี้ตนพยายามทำทุกอย่างที่ทำได้ ด้วยความหวังจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง

               ขณะที่พระทีฆทัสสีมุนีวงศ์ รองเจ้าคณะจังหวัดพิจิตร กล่าวว่า การที่พระสงฆ์ดูแลโยมพ่อ โยมแม่นั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ควรสรรเสริญ ครั้งหนึ่งสมัยพุทธกาล หรือสมัยที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสสรรเสริญพระสงฆ์รูปหนึ่งที่ดูแลมารดาของตน และทรงยกบิดา มารดา เปรียบเสมือนพระอรหันต์ของลูก และทรงอนุญาตให้พระสงฆ์สามารถดูแล บิดา และมารดาได้ การที่พระสมชายดูแลโยมพ่อโยมแม่ จึงเป็นสิ่งที่น่าสรรเสริญและเป็นตัวอย่างของผู้เป็นลูกในการดูแล พ่อ แม่ ซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่มีพระคุณสูงสุด แต่การที่พระทำนานั้นถือว่าไม่เหมาะสม และไม่ใช่กิจของสงฆ์ อย่างไรก็ตามกรณีนี้ถือว่าเป็นการตอบแทนผู้มีพระคุณ ซึ่งหลังจากนี้คณะสงจะเข้าไปดูพระสงฆ์ด้วยกันอีกครั้งหลังจากนี้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ