ป.ป.ส. ตรวจฐานทัพดอยช้างมูบ สกัดกั้นยาเสพติดชายแดนไทย-เมียนมาร์

พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. ลงพื้นที่ไปยังฐานปฏิบัติการดอยช้างมูบ สังกัดกองร้อยทหารม้าที่ 2 หน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก กองกำลังผาเมือง ต.โป่งงาม อ.แม่สาย จ.เชียงราย เพื่อรับฟังการบรรยายผลปฏิบัติการสกัดกั้นยาเสพติดของทหารตามแนวชายแดนระหว่างประเทศไทยและประเทศเมียนมาร์ โดยมี พล.ท.นฤทธิ์ ถาวรวงษ์ แม่ทัพน้อยที่ 3 ในฐานะผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคเหนือ หรือ นบ.ยส.35 ให้การต้อนรับ 

 

พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณทางกองทัพ โดยเฉพาะฐานปฏิบัติการตามแนวชายแดนที่สามารถสกัดกั้นป้องกันการลักลอบนำเข้ายาเสพติดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเนื่องจากว่าแหล่งพักยาและผลิตที่สำคัญนั้น จะอยู่ในชายแดนประเทศเพื่อนบ้านเป็นหลัก ก่อนจะลักลอบนำเข้าผ่านช่องทางธรรมชาติมายังประเทศไทย 

ซึ่งเรื่องนี้นั้น ทาง ป.ป.ส. มีแผนที่จะดำเนินการอยู่ 2 แผนการ คือ การสกัดกั้นการนำเข้าสารตั้งต้นผลิตยาเสพติด โดยเฉพาะสารเคมีไม่ให้เข้าถึงแหล่งผลิต เรื่องนี้นั้นได้มีการพูดคุยกับรัฐบาลประเทศจีนแล้ว เพราะเนื่องจากว่า แหล่งนำเข้าสารตั้งต้นผลิตยาเสพติดที่บรรดาโรงงานในประเทศเพื่อนบ้านนำมาใช้นั้น ส่วนใหญ่จะลักลอบนำเข้าผ่านประเทศจีน ซึ่งทางประเทศจีนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการเฝ้าสกัดกั้นตามแนวชายแดนระหว่างประเทศจีนและประเทศเมียนมาร์ 

 

ส่วนอีกแผนการหนึ่งคือ ต้องพูดคุยกับประเทศเมียนมาร์โดยตรง ในการเฝ้าระวังจับกุมและทำลาย แหล่งพักยาและผลิตยาเสพติด รวมทั้งสกัดป้องกันไม่ให้กลุ่มผู้ผลิตยาเสพติดเข้าถึงสารตั้งต้นได้ โดยในวันที่ 2-3 เมษายนที่จะถึงนี้ ตนเตรียมที่จะเดินทางไปที่ประเทศเมียนมาร์ เพื่อพูดคุยกับหน่วยงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดของเมียนมาร์ในประเด็นนี้

พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ กล่าวต่อว่า แม้จะมีความพยายามที่จะสกัดกั้นไม่ให้ยาเสพติดลักลอบเข้ามาผ่านชายแดน ไม่ว่าจะเป็น ป.ป.ส. เองหรือทหารตำรวจ ฝ่ายความมั่นคง แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องทำคู่กันไป คือ การสกัดป้องกันไม่ให้ประชาชนในประเทศเข้ามายุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งเรื่องนี้จะต้องให้องค์ความรู้ แก่ประชาชน ควบคู่ไปกับนโยบายการสร้างชุมชนเข้มแข็งที่ต้องขับเคลื่อนของคู่กันไป 

 

ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเตรียมเสนอคณะกรรมการ ป.ป.ส. เพื่อประกาศเพิ่มการเฝ้าระวังป้องกันการลักลอบนำเข้ายาเสพติดตามแนวชายแดนในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นจำนวน 13 จังหวัด 39 อำเภอ ซึ่งเชื่อว่าการประกาศ พื้นที่เฝ้าระวังตามชายแดนเพิ่ม จะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถให้ทุกหน่วยงานในการเฝ้าสกัดการลักลอบนำเข้ายาเสพติดตามแนวชายแดนได้ ซึ่งได้มีการหารือพูดคุยกับกองทัพแล้วว่า ยินดีที่จะเพิ่มพื้นที่เฝ้าระวัง หากมีการส่งข้อมูลหรือการข่าวระบุว่า มีความสุ่มเสี่ยงที่จะมีการลักลอบนำเข้ายาเสพติด 

 

ส่วนที่ประชาชนสงสัยว่า อาจจะมีข้าราชการรัฐเข้ามาเกี่ยวข้องกับการลักลอบนำเข้ายาเสพติด พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ ระบุว่า เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ตนได้ออกคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานขึ้นมาทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการสอบสวนเพื่อเอาผิดข้าราชการ ไม่ว่าจะหน่วยไหนก็ตามที่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดียาเสพติดแล้ว โดยย้ำว่า เรื่องการปราบปรามข้าราชการที่ทุจริตหรือมีส่วนรับผลประโยชน์ในคดียาเสพติดนั้น เป็นหนึ่งนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลในการปราบปรามยาเสพติด 

ด้าน พล.ท.นฤทธิ์ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์สงครามกลางเมืองในประเทศเมียนมาที่รุนแรงมากขึ้น จนทำให้รัฐบาลกลางเมียนมาร์ไม่สามารถควบคุมพื้นที่ชายแดนได้ทั้งหมด เพราะพ่ายสงครามกับกองกำลังชนกลุ่มน้อยตามแนวชายแดน ซึ่งส่งผลทำให้การลักลอบนำเข้ายาเสพติดเข้ามาในประเทศไทยรุนแรงมากยิ่งขึ้น เนื่องจากอาจจะมีชนกลุ่มน้อยบางกลุ่มที่หาผลประโยชน์จากการผลิตและจำหน่ายยาเสพติด หรือบรรดาพ่อค้ารายใหญ่ฉวยโอกาสนี้ในการนำเข้ายาเสพติดเพื่อหารายได้เสริมสนับสนุนกองกำลังชนกลุ่มน้อย หรือต้องการระบายยาเสพติดที่ผลิตในฝั่งเมียนมาร์ 

 

ซึ่งทางกองทัพบกโดยหน่วยปฏิบัติการตามแนวชายแดนต่าง ๆ ยังคงเฝ้าจับตาและเฝ้าระวังร่วมกับ ตำรวจและ ป.ป.ส. อย่างเต็มที่ แต่ยอมรับว่า ขบวนการลักลอบนำเข้ายาเสพติดนั้น ก็มีวิธีการที่จะตบตาเจ้าหน้าที่หรือใช้ความชำนาญทางภูมิศาสตร์ในการหาช่องทางที่จะลักลอบนำเข้ายาเสพติด แต่ยืนยันว่า ทางกองทัพจะทำงานนี้อย่างเต็มที่ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมานั้นพบว่า ทางกองทัพสามารถสกัดกั้นยาเสพติดตามแนวชายแดน โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.เชียงราย ได้มากกว่า 20 ล้านเม็ดต่อเดือน ซึ่งถือว่าเป็นการเพิ่มขีดความสามารถของกองทัพ จากเดิมที่สามารถสกัดต้านยาเสพติดได้ 20% แต่ตอนนี้เพิ่มเป็น 60%

 

นอกจากนี้ยังระบุอีกว่า ยังมีคนไทยบางส่วนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดียาเสพติดแล้วหนีหมายจับข้ามไปยังชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อทำงานส่งยาเสพติด เข้ามายังประเทศไทย เนื่องจากการข่าว พบมีมากถึงร้อยกว่าราย แต่มีรายสำคัญที่ทางการไทยต้องการตัวอยู่ประมาณ 36 คน 

 

สำหรับผลปฏิบัตการสกัดกั้นยาเสพติดของฐานปฏิบัติการดอยช้างมูบ ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2566 ถึง 21 มีนาคม 2567 สามารถจับกุมยาเสพติดได้ 12 ครั้ง ได้ผู้ต้องหา 12 ราย มีการปะทะกัน 1 ครั้ง ได้ของกลางยาบ้า 527,968 เม็ด เฮโรอีน 106.5 กรัม  และฝิ่น 16 กรัม