ตร.บุกรวบสองผัวเมียลอบขาย 'บุหรี่ไฟฟ้า' ผ่านไลน์ รับทำมาแล้ว 2 ปี

จากนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการยกระดับการเฝ้าระวังและการบังคับใช้กฎหมายด้านการควบคุมยาสูบ โดยเฉพาะการนำเข้า การขายบุหรี่ไฟฟ้า  เพื่อให้เด็กและเยาวชนรู้เท่าทัน ไม่หลงเชื่อทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบทุกรูปแบบ เป็นการตัดวงจรไม่ให้เด็กและเยาวชนเข้าสู่การเป็นนักสูบหน้าใหม่ 

 

เพจสถานีตำรวจนครบาลเพชรเกษม ได้รับแจ้งเบาะแสจากผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ว่ามีผู้ลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า ทางแอปพลิเคชั่นไลน์ จึงทำการตรวจสอบพบว่า มีการกระทำผิดจริง

 

 

 

 

จึงให้สายลับทำการติดต่อซื้อขายบุหรี่ไฟฟ้าและน้ำยาสำหรับเติมบุหรี่ไฟฟ้า  จนมีตกลงซื้อขายบุหรี่ไฟฟ้าและน้ำยาสำหรับเติมบุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 10 ชิ้น ในราคา 950 บาท รวมค่าส่ง 60 บาท  จึงได้นัดหมายส่งสินค้ากันที่บริเวณ ศูนย์การค้าแห่งหนึ่ง บริเวณ ซอยเพชรเกษม 69

 

 

 

 

โดยสายลับโอนเงินให้กับผู้ขายผ่านทางบัญชีธนาคาร ในชื่อบัญชีของ น.ส.อภิชญา และได้เดินทางไปรอรับสินค้าและได้รับสินค้ามาจริง จากการสืบสวนทราบว่าผู้ต้องหาได้พักอาศัยอยู่ที่คอนโดฯดังกล่าว จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอหมายค้นต่อศาลอาญาธนบุรี

 

 

 

 

และนำหมายค้นศาลอาญาธนบุรี ที่ 29/2567 ลงวันที่ 24 ม.ค. 2567 เข้าตรวจค้นห้องพักภายในคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง  ถ.เพชรเกษม แขวงบางแคเหนือ เขตบางแค กรุงเทพ พร้อมจับกุม น.ส.อภิชญา (สงวนนามสกุล)   อายุ 27 ปี และนายขวัญชัย (สงวนนามสกุล) อายุ 42 ปี สองสามีภรรยา 

 

ห้องพักในคอนโดฯดังกล่าว เข้าไปตรวจสอบพบ น.ส.อภิชญา แสดงตัวเป็นเจ้าของห้อง และนายขวัญ ผลการตรวจค้นพบของกลางดังกล่าว วางอยู่ในส่วนห้องนั่งเล่นและอยู่ในส่วนห้องนอนภายในห้องพบของกลางจำนวนมาก  อาทิ ตัวบุหรี่ไฟฟ้า, บุหรี่ไฟฟ้าแบบใช้แล้วทิ้ง , หัวน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า , น้ำยาเติมบุหรี่ไฟฟ้า 

 

 

 

 

สอบสวนน.ส.อภิชญา และนายขวัญชัยฯ รับสารภาพว่า ของกลางบุหรี่ไฟฟ้าดังกล่าว ไว้ใช้ขายให้กับลูกค้าที่สั่งซื้อผ่านทางแอปพลิเคชั่นไลน์ ซึ่งทำมาประมาณ 2 ปี

 

 

 

 

เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อกล่าวหา “ร่วมกันเป็นผู้ขาย หรือจัดหาด้วยประการใดๆ หรือเสนอ หรือชักชวนให้มีการขายให้บริการ หรือจัดหาด้วยประการใดๆ ซึ่งสินค้าบุหรี่ไฟฟ้า หรือน้ำยาสำหรับเติมบุหรี่ไฟฟ้า โดยเรียกค่าตอบแทนเป็นเงิน หรือผลประโยชน์อย่างอื่นอันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคที่ 9/2558 ลง 28 มกราคม 2558 อันเป็นความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 600,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 56/4 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 ซึ่งเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2562 ประกอบบทเฉพาะกาลในมาตรา 37 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562”

 

 

 

จากนั้นก่อนนำตัวทั้ง 2 คน พร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สน.หลักสอง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป