ลุ้น 27 ก.ค. 'ลุงพล' รอดไม่รอดคดี 'น้องชมพู่' ศาลนัดสืบพยานจำเลยปากสุดท้าย

 

คดีการเสียชีวิตของ "น้องชมพู่" ใกล้จะสิ้นสุดแล้ว เมื่อมีรายงานว่าวันที่ 27 ก.ค. 66 ศาลจังหวัดมุกดาหาร นัดสืบพยานจำเลยปากสุดท้าย ในคดี "น้องชมพู่" อายุ 3 ขวบ ที่หายออกจากบ้าน ในพื้นที่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร 

 

ก่อนจะพบว่า "น้องชมพู่" เสียชีวิตบนเขาภูเหล็กไฟ ห่างจากบ้านประมาณ 5 กิโลเมตร ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจมีการออกหมายจับ นายไชย์พล วิภา หรือ "ลุงพล" อายุ 44 ปี ลุงของน้องชมพู่

 

"ลุงพล" ถูกแจ้ง 3 ข้อหาคือ พรากผู้เยาว์  ทอดทิ้งเด็กให้ถึงแก่ความตาย และกระทำการใดๆ แก่ศพที่ทำให้ผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป ทำให้คดีนี้กลายเป็นที่สนใจของสังคมอีกครั้ง

 

 

 

มีรายงานว่าในที่ 27 ก.ค. 66 หลังจากสืบพยานจำเลยเสร็จสิ้น ศาลจังหวัดมุกดาหาร จะนัดวันให้คู่ความทั้งสองฝ่ายมาฟังคำพิพากษาในคดี

 

 

 

ย้อนเหตุการณ์กว่า 4 ปี จากการหายตัวไปของ "น้องชมพู่" นำไปสู่การออกหมายจับ "ลุงพล" ตัวละครสำคัญ ชีวิตเปลี่ยนจากชาวบ้านธรรมดากลายเป็นมีชื่อเสียง แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องเป็นผู้ต้องหาการหายตัวไปของน้องชมพู่ หลานสาวแท้ๆ

 

 

 

11 พ.ค. 63 น้องชมพู่ อยู่กับพี่สาววัย 13 ปี ที่บ้านพัก พื้นที่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร จากนั้นน้องชมพู่ หายตัวปริศนา ทางพ่อแม่ญาติพี่น้องช่วยกันตามหา

 

 

 

14 พ.ค. 63 ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง ชาวบ้านช่วยกันค้นหาอย่างต่อเนื่อง กระทั่ง ยายตุน อายุ 70 ปี เข้าไปหาของป่าบนเทือกเขาภูพานน้อย เขตอุทยานแห่งชาติภูผายล แจ้งเบาะแสว่า พบรองเท้าเด็กสีเขียวกลางป่า เจ้าหน้าที่เดินทางไปจุดที่พบรองเท้า และตรวจสอบห่างจากจุดพบรองเท้า ประมาณ 5 เมตร พบศพน้องชมพู่ อยู่ในสภาพเปลือยกาย บนภูเหล็กไฟ ซึ่งเป็นเขาสูงชันห่างจากบ้านพัก ราว 2 กิโลเมตร แต่ยังไม่สามารถยืนยันว่ามีการข่มขืนหรือไม่ 

 

 

 

15 พ.ค. 63 ตำรวจ สภ.กกตูม นำศพน้องชมพู่ ไปชันสูตรที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี ผลชันสูตรศพน้องชมพู่ครั้งแรก ไม่พบร่องรอยถูกทำร้าย ไม่พบร่องรอยการล่วงละเมิดทางเพศ แต่ไม่สามารถระบุสาเหตุการตายได้ เนื่องจากสภาพศพเริ่มเน่า

 

 

 

17 พ.ค. 63 ครอบครัวน้องชมพู่ ส่งศพน้องชมพู่ ให้สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ชันสูตรเป็นครั้งที่ 2 ผลชันสูตรพบร่องรอยถูกทำร้ายร่างกาย อวัยวะเพศมีบาดแผลฉีกขาด แต่ตรวจอสุจิในช่องคลอดไม่ได้ เนื่องจากศพมีสภาพเน่าเปื่อย

 

 

 

20 พ.ค. 63 ครอบครัวน้องชมพู่ ทำพิธีฌาปนกิจศพเชิงตะกอนแบบโบราณ ที่ป่าช้าบ้านกกกอก

 

 

 

3 มิ.ย. 63 เจ้าหน้าที่ตำรวจ ยังไม่ตัดกลุ่มผู้ต้องสงสัยทิ้ง ทั้งนายพราน-บุคคลใกล้ชิดในครอบครัว ขณะที่โลกออนไลน์และสังคมต่างพุ่งเป้าไปที่ ลุงพล แต่ลุงพล ยืนยันความบริสุทธิ์

 

 

 

4 มิ.ย. 63 ตำรวจนำตัวลุงพล ไปสอบปากคำในฐานะพยาน และนำตัวไปชี้จุด เล่าลำดับเหตุการณ์ ถ่ายภาพประกอบ

 

 

 

11-17 มิ.ย. 63 เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน เข้าไปเก็บหลักฐานที่บ้านลุงพล ตรวจรถยนต์ เสื้อผ้า เก็บหลักฐานไปตรวจสอบ นำกระสอบปุ๋ย ถุงมือ และขนสุนัขที่บ้านไปตรวจสอบ พร้อมทั้งขอดูมีดพร้า 

 

 

 

7 ก.ค. 63 ลุงพล ไปออกรายการโทรทัศน์ หลังถูกตกเป็นผู้ต้องสงสัย ลุงพล ยังยืนยันหนักแน่นว่า ไม่ได้เป็นคนฆ่าล้านเปอร์เซ็นต์ รักน้องชมพู่เหมือนลูกตัวเอง 

 

 

 

จากนั้นลุงพล กลายเป็นคนดังของบ้านกกกอก ทันที สื่อทุกสำนักลงพื้นที่บ้านกกกอก เกาะติดชีวิตลุงพล รวมทั้งคนในวงการบันเทิง นักปั้นดาราอย่าง อุ๊บ วิริยะ พงษ์อาจหาญ นำตัวลุงพล เข้าสู่วงการบันเทิง ออกเอ็ม.วี. เต่างอย ร่วมกับ จินตหรา พูลลลาภ นักร้องหมอลำสาว  

 

 

 

ลุงพล และนางสมพร หลาบโพธิ์ หรือ ป้าแต๋น ภรรยา เริ่มมีชื่อเสียง มีทั้งงานเดินแบบ พรีเซ็นเตอร์สินค้า รวมทั้งมียูทูปเบอร์ และแฟนคลับจำนวนมาก

 

 

 

2 ต.ค. 63 พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ขณะนั้น) ออกมาแถลงข่าวระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่าน้องชมพู่ ไม่ได้เดินขึ้นไปเองที่จุดพบศพบนภูเหล็กไฟ และอาจถูกใครบางคนกระทำด้วยวิธีการใดๆ ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมให้เสียชีวิต แต่ไม่ชี้ชัดว่าใครคือผู้ต้องหา ระหว่างนั้นลุงพล และป้าแต๋น พร้อมทนายความมาร่วมรับฟังการแถลงข่าว ยืนยันว่าเป็นผู้บริสุทธิ์

 

 

 

กระทั่ง ปี 64 ระหว่างวันที่ 4-7 ม.ค.  ตำรวจเชิญตัวพ่อแม่น้องชมพู่ พี่สาว น้าต่าย น้าเสริม น้าแต น้าฝน รวม 7 คน ทยอยเข้าเครื่องจับเท็จ 

 

 

 

10 ม.ค. 64 ถึงคิวของลุงพล ถูกเชิญเข้าเครื่องจับเท็จประมาณ 5-6 ชม. ลุงพล ยืนยันว่าไม่ได้ทำผิด หากจะโยนความผิดมาลงที่ตัวเอง ก็จะสู้ให้ถึงที่สุด

 

 

 

19 ม.ค. 64 เป็นต้นมา ลุงพล เริ่มมีอาการกราดเกรี้ยวมากขึ้น มีการแย่งไมค์ทำร้ายผู้สื่อข่าว ที่ลงไปทำข่าว จนผู้สื่อข่าว แจ้งความดำเนินกับลุงพล ฐานทำร้ายร่างกาย และชิงทรัพย์

 

 

 

27 ม.ค. 64 ศูนย์ป่าไม้มุกดาหาร และตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิด เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) เชิญตัวลุงพล รับทราบข้อหาบุกรุกพื้นที่ป่าสงวน 2 งาน ก่อสร้างองค์พญานาค สูง 7 เมตร 

 

 

 

11 พ.ค. 64 พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ขณะนั้น) ออกมาเปิดเผยครบรอบ 1 ปี การเสียชีวิตของน้องชมพู่ ว่า ตำรวจไม่ได้นิ่งนอนใจ ยังคงทำงานตลอด ย้ำว่าจะไม่ปล่อยให้คนผิดลอยนวล

 

 

 

 

กระทั่ง 1 มิ.ย. 64 ศาลจังหวัดมุกดาหาร อนุมัติหมายจับลุงพล คดีการเสียชีวิตของน้องชมพู่  ในข้อหา พรากผู้เยาว์ ทอดทิ้งเด็กเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย และกระทำการใดๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อม ทำให้การชันสูตรพลิกศพ หรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป

 

 

 

การออกหมายจับลุงพล ตำรวจมีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์จากเส้นผม ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าลุงพล พาน้องชมพู่ หลานสาว ขึ้นภูเขาไปจนเสียชีวิต 

 

 

 

คดีมีการสอบพยานไปหลายร้อยปาก และรวบรวมพยานหลักฐานนานเป็นปี กว่าจะสามารถปิดคดีขอศาลอนุมัติหมายจับลุงพล ในครั้งนี้

 

 

 

2 มิ.ย.64 ตำรวจเปิดปฏิบัติการ "ฟ้าสางกลางกกกอก" ตั้งแต่เช้ามืด นำกำลังเข้าจับกุมลุงพล ที่บ้านกกอกอก แต่ไม่พบตัวลุงพล และป้าแต๋น ตำรวจต้องถอนกำลังกลับ

 

 

 

กระทั่งช่วงบ่าย นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความชื่อดัง ได้พา ลุงพล เข้ามอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จากนั้นตำรวจคุมตัวลุงพล ไปสอบสวนที่สภ.กกตูม  พื้นที่เกิดเหตุ ลุงพล ให้การปฏิเสธทุกข้อหา

 

 

 

4 มิ.ย. 64 ตำรวจ สภ.กกตูม คุมตัวลุงพล ไปฝากขังต่อศาลจังหวัดมุกดาหาร ซึ่งขณะนั้นลุงพล ยังมีหน้าตาไม่สะทกสะท้าน ร้องเพลง 3 เพลงดังลั่นจากห้องขัง  โดยมีป้าแต๋น ภรรยา และทนายษิทรา เตรียมโฉนดที่ดิน มูลค่า 1.7 ล้านบาท เพื่อเป็นหลักทรัพย์ในการประกันตัว โดยศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัว ปล่อยตัวชั่วคราว โดยวางหลักทรัพย์ 1.8 แสนบาท หลังจากลุงพล ประกันตัวออกมา ศาลได้มีการสืบพยานทั้งฝ่ายโจทย์ ฝ่ายจำเลยมาโดยตลอดเกือบ 2 ปี 

 

 

 

คดีการเสียชีวิตของน้องชมพู่ ถือเป็นมหากาฬ ที่ยาวนาน และในวันที่ 27 ก.ค. 66 ศาลจังหวัดมุกดาหาร มีการนัดสืบพยานจำเลยปากสุดท้าย  หลังจากสืบพยานจำเลยเสร็จสิ้น ศาลจังหวัดมุกดาหารจะนัดวันให้คู่ความทั้งสองฝ่ายมาฟังคำพิพากษาในคดี ลุงพล ตกเป็นผู้ต้องคดีการเสียชีวิตของ น้องชมพู่

 

 

 

 

ขณะที่แม่ของน้องชมพู่ นางสาวิตรี วงศ์ศรีชา  ตลอดระยะเวลากว่า 3 ปี กับการสูญเสียลูกสาว  ทุกวันนี้คุณแม่ยังเชื่อมั่นการทำงานของตำรวจ และทำให้เชื่อมั่นว่าความยุติธรรมยังมีจริง 

 

 

 

แม้ว่าสุดท้ายศาลจะตัดสินว่ายังไงก็สู้ทุกอย่าง สู้ให้ถึงที่สุดเพื่อให้น้องชมพู่ ได้รับความยุติธรรม