ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ตั้ง คณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ 7 คน 'พลตำรวจโท สรศักดิ์ เย็นเปรม' นั่งประธาน
ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ (ก.ร.ตร.) จำนวน 7 ราย โดยมีเนื้อหารายละเอียดระบุว่า
คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ (ก.ร.ตร.) อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 43 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 จึงแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ (ก.ร.ตร.) ประกอบด้วยบุคคล ดังต่อไปนี้
- พลตำรวจเอก ปัญญา มาเม่น เป็น กรรมการ
- นางสมศรี หาญอนันทสุข เป็น กรรมการ
- พลตำรวจโท สรศักดิ์ เย็นเปรม เป็น กรรมการ
- นางสาวสุกลภัทร ใจจรูญ เป็น กรรมการ
- นายสุนทร พยัคฆ์ เป็น กรรมการ
- นางอริยา แก้วสามดวง เป็น กรรมการ
- พลตำรวจโท อำนวย นิ่มมะโน เป็น กรรมการ
สั่ง ณ วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2566 ลงนามโดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
ประวัติคร่าวๆ คณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ 2566
พลตำรวจเอก ปัญญา มาเม่น
- อดีตจเรตำรวจแห่งชาติ เคยเป็นกรรมการปฏิรูปประเทศ (ตำรวจ)
นางสมศรี หาญอนันทสุข
- ทำงานด้านประชาธิปไตย ด้านการส่งเสริมการเลือกตั้ง และเป็นผู้อำนวยการบริหาร ที่ Asian Network for Free Elections ( Anfrel Foundation)
พลตำรวจโท สรศักดิ์ เย็นเปรม
- อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 8 อดีตรองผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด
นางสาวสุกลภัทร ใจจรูญ
- ที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีฯ ด้านสังคม และผู้แทนสภาองค์กรชุมชนในระดับชาติ
นายสุนทร พยัคฆ์
- เลขาธิการสภาทนายความ / กรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์และโฆษกสภาทนายความ
นางอริยา แก้วสามดวง
- ที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชน ด้านสิ่งแวดล้อม เครือข่ายชุมชนรับมือภัยพิบัติ จ.ตรัง
พลตำรวจโท อำนวย นิ่มมะโน
- โฆษกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ อาจารย์พิเศษคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 1 อดีตรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจนครบาล
แต่งตั้งพล.ต.ท.สรศักดิ์ เย็นเปรม เป็นประธาน ก.ร.ตร.
และในวันเดียวกัน ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 144/2566 เรื่อง แต่งตั้งพลตำรวจโท สรศักดิ์ เย็นเปรม กรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ เป็น ประธานกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ สั่ง
ณ วันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2566
คณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ หรือ ก.ร.ตร. คืออะไร
คณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ หรือเรียกโดยย่อว่า “ก.ร.ตร.”เป็นคณะกรรมการ ที่จัดตั้งขึ้นตาม มาตรา 43 แห่ง พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 มีหน้าที่และอำนาจพิจารณา เรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับความเดือดร้อนหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมของประชาชนจากการกระทำหรือไม่กระทำการของข้าราชการตำรวจอันมิชอบ หรือการประพฤติปฏิบัติไม่เหมาะสมและเสื่อมเสียแก่เกียรติศักดิ์ของตำรวจ กระทำผิดวินัย หรือละเมิดประมวลจริยธรรมและจรรยาบรรณของตำรวจ
เรียกได้ว่าเป็นคณะกรรมการอีกชุดที่เกิดขึ้นมาใหม่ตาม พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 โดยได้ยกเลิก พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 , 3 และ 4 รวมถึงการยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานตำรวจ โดยมีความคาดหวังว่าคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ จะเป็นคณะกรรมการกลางที่มาทำหน้าที่ในการตรวจสอบการทำงานของตำรวจ รับเรื่องร้องเรียนของประชาชนอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ
เป็นการพัฒนาและยกระดับการบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน ซึ่งก็เป็นไปตามที่ พลตำรวจเอก ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้กำหนดวิสัยทัศน์เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2565 คือ “เป็นตำรวจมืออาชีพ ทำงานเชิงรุก เพื่อความสงบสุขของประชาชน”
และมอบนโยบายการบริหารราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ประกอบด้วย 10 นโยบาย เรื่องสำคัญประการแรก คือ “การพิทักษ์ เทิดทูน และเทิดพระเกียรติต่อสถาบันพระมหากษัตริย์” และยังให้ความสำคัญในเรื่องการเปิดโอกาสให้ประชาชน เข้ามามีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ ซึ่งอยู่ในนโยบาย ข้อที่ 5 “เพิ่มการมีส่วนร่วมระหว่างตำรวจกับประชาชนโดยเปิดช่องทางรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะจากประชาชน”
ซึ่ง พลตำรวจเอก ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้กล่าวว่า “ความทุกข์ร้อนของประชาชน เป็นหน้าที่ของตำรวจต้องเข้าไปแก้ไขอย่างรวดเร็วและทันท่วงที” การกำหนดให้มีคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ จึงถือเป็นการยกระดับการปฏิบัติงาน สร้างภาพลักษณ์ที่ดี และเป็นการให้ความสำคัญกับผู้รับบริการ ซึ่งก็คือประชาชนทุก ๆ คน
หน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ (ก.ร.ตร.)
พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ได้กำหนดในเรื่องกรณีผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการกระทำหรือไม่กระทำการของข้าราชการตำรวจอันมิชอบ รวมถึงอำนาจในการดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริงของคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ (ก.ร.ตร.) ไว้ดังนี้
มาตรา 50 ผู้ใดไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการกระทำหรือไม่กระทำการของข้าราชการตำรวจอันมิชอบ หรือพบเห็นข้าราชการตำรวจประพฤติปฏิบัติไม่เหมาะสมและเสื่อมเสียแก่เกียรติศักดิ์ของตำรวจ กระทำผิดวินัย หรือละเมิดประมวลจริยธรรมและจรรยาบรรณของตำรวจ ให้มีสิทธิร้องเรียนต่อ ก.ร.ตร. ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ร.ตร. กำหนด หลักเกณฑ์และวิธีการดังกล่าวต้องไม่มีลักษณะเป็นการสร้าง ขั้นตอนโดยไม่จำเป็นและไม่เป็นการสร้างภาระแก่ประชาชนเกินสมควร มาตรา 51
เมื่อความปรากฏต่อ ก.ร.ตร. ไม่ว่าโดยทางใด ไม่ว่าจะมีผู้ร้องเรียนหรือไม่ว่าข้าราชการตำรวจผู้ใดกระทำการหรือไม่กระทำการอันมิชอบ หรือมีความประพฤติหรือปฏิบัติไม่เหมาะสมและเสื่อมเสียแก่เกียรติศักดิ์ของตำรวจ กระทำผิดวินัย หรือละเมิดประมวลจริยธรรมและจรรยาบรรณของตำรวจ
ให้ ก.ร.ตร. มีอำนาจไต่สวนข้อเท็จจริง โดย ก.ร.ตร. จะดำเนินการไต่สวนเองหรือมอบหมายให้ข้าราชการตำรวจในสำนักงานจเรตำรวจดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริงเบื้องต้นเพื่อรายงานต่อ ก.ร.ตร. ตามประเด็น ที่ ก.ร.ตร. กำหนด หรือในกรณีที่เห็นว่ามิใช่เรื่องที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชนโดยตรง จะส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการทางวินัยแล้วรายงานผลให้ ก.ร.ตร. ทราบก็ได้
ในกรณีที่ ก.ร.ตร. พิจารณาแล้วเห็นว่ากรณีไม่มีมูลให้สั่งยุติเรื่อง แต่ถ้า ก.ร.ตร. วินิจฉัยว่ากรณีเป็นการกระทำผิดวินัย ให้ ก.ร.ตร. ส่งสำนวนการพิจารณาและคำวินิจฉัยพร้อมพยานหลักฐานให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจเพื่อพิจารณาโทษโดยเร็วต่อไป โดยผู้บังคับบัญชาไม่ต้องดำเนินการสืบสวนหรือสอบสวนอีก
เว้นแต่ผู้บังคับบัญชามีพยานหลักฐานใหม่ที่แสดงได้ว่าผู้ถูกกล่าวหามิได้มีการกระทำความผิดตามที่กล่าวหาหรือกระทำความผิดในฐานความผิดที่แตกต่างจากที่ถูกกล่าวหา จะขอให้ก.ร.ตร. พิจารณาทบทวนก็ได้ โดยทำเป็นหนังสือพร้อมทั้งส่งพยานหลักฐานให้ ก.ร.ตร. ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับสำนวนจาก ก.ร.ตร.
แต่หากกรณีใดมีลักษณะเป็นการทุจริต ให้ ก.ร.ตร. ส่งสำนวนพร้อมพยานหลักฐานให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติหรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจ แล้วแต่กรณีโดยในกรณีที่ ก.ร.ตร. มีคำวินิจฉัยว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำผิดวินัย ก.ร.ตร. จะสั่งให้ผู้บังคับบัญชาของผู้ถูกกล่าวหาดำเนินการทางวินัยโดยไม่ต้องรอผลการพิจารณาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติหรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ก็ได้
และในกรณีที่เห็นว่าเป็นการสมควรเพื่อระงับความเดือดร้อนของประชาชนหรือป้องกันความเสียหายต่อราชการ จะให้ผู้บังคับบัญชาสั่งพักราชการผู้นั้นไว้ก่อนก็ได้ ในกรณีเช่นนั้น ให้ผู้บังคับบัญชามีหน้าที่และอำนาจสั่งพักราชการไว้จนกว่าการดำเนินการทางวินัยจะแล้วเสร็จ โดยให้ถือว่าการสั่งพักราชการดังกล่าวเป็นการสั่งพักราชการตามมาตรา 131แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 การไต่สวนและการพิจารณาให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ร.ตร. กำหนด
ซึ่งอย่างน้อยต้องมีมาตรการในการรักษาความลับเกี่ยวกับผู้ร้องเรียนหรือกล่าวโทษ มาตรการในการดำเนินการให้เกิดความรวดเร็ว และการรับฟังคำชี้แจงของผู้ถูกกล่าวหาด้วย
ในกรณีที่ผู้บังคับบัญชาผู้ใดไม่ปฏิบัติตามวรรคสองโดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้ถือว่าเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ในกรณีที่ ก.ร.ตร. พิจารณาแล้วเห็นว่าแม้กรณีจะไม่มีมูลเพราะเป็นการปฏิบัติตามระเบียบ ข้อบังคับ หรือมติของ ก.ตร. แต่ระเบียบ ข้อบังคับ หรือมติ ก.ตร. นั้น ไม่เป็นไปตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ให้ ก.ร.ตร. เสนอแนะไปยังคณะรัฐมนตรี ก.ตร. หรือหน่วยงานอื่นใดที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับปรุงระเบียบ ข้อบังคับ หรือมติ ก.ตร. นั้นใหม่ได้
อำนาจของคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ (ก.ร.ตร.)
มาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 กำหนดอำนาจในการไต่สวนข้อเท็จจริง ให้ ก.ร.ตร. มีอำนาจ ดังต่อไปนี้
- เรียกผู้ร้องเรียน ผู้ถูกร้องเรียน เจ้าหน้าที่ หรือบุคคลอื่นใด มาชี้แจงหรือแสดงความเห็นหรือส่งเอกสารและหลักฐานที่เกี่ยวข้องประกอบการพิจารณา โดยให้นำความในมาตรา 128 มาใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม
- แจ้งผู้บังคับบัญชาของข้าราชการตำรวจที่ถูกร้องเรียนเพื่อพิจารณาสั่งให้ข้าราชการตำรวจ ผู้นั้นไปปฏิบัติหน้าที่อื่นเป็นการชั่วคราวระหว่างการไต่สวนข้อเท็จจริง
ให้ข้าราชการตำรวจที่ ก.ร.ตร. มอบหมายตามมาตรา 51 วรรคหนึ่ง มีอำนาจตาม (1) ด้วย แต่กรณีตาม (2) ให้เสนอ ก.ร.ตร. เพื่อพิจารณา ในการดำเนินการตาม (1) ในส่วนที่เกี่ยวกับผู้ร้องเรียนและพยาน ผู้เรียกต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ร้องเรียนและพยาน และไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือภาระเกินสมควร
เพื่อการนี้ ก.ร.ตร. จะกำหนดให้มีมาตรการในการคุ้มครองผู้ร้องเรียนและพยานตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ร.ตร. กำหนด หรือ ในกรณีที่เห็นสมควรจะมอบหมายให้สำนักงานคุ้มครองพยาน กระทรวงยุติธรรม ดำเนินการเพื่อคุ้มครองพยานให้ก็ได้ และเพื่อการนี้ ให้ถือว่าผู้ร้องเรียนและพยานตามพระราชบัญญัตินี้เป็นพยานตามกฎหมายว่าด้วย
การคุ้มครองพยานในคดีอาญาให้ ก.ร.ตร. กำหนดหลักเกณฑ์ว่าด้วยอัตราและวิธีการจ่ายค่าเดินทาง ค่าเช่าที่พัก และค่าตอบแทนพยาน กรณีที่จำเป็นต้องให้พยานมาให้ถ้อยคำเพิ่มเติมต่อหน้า ก.ร.ตร. หลักเกณฑ์ดังกล่าวให้ใช้ได้เมื่อได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลังและประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ที่มาข้อมูล
ข่าวที่เกี่ยวข้อง