ข่าว

สรุป มหากาพย์ 'ชูวิทย์-ทนายตั้ม' แฉกันยับ ซัดกันนัว เปิดศึกยกที่สอง

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เปิดศึกยกที่สอง สรุป มหากาพย์ 'ชูวิทย์-ทนายตั้ม' แฉกันยับ ซัดกันนัว ปม ถุงเงิน 6 ล้าน ยัน เดินทางแบบ VVIP จุดจบอยู่ที่ไหน

ยกให้เป็นคู่เดือดของสังคมไทยตอนนี้ ระหว่างเจ้าพ่อจอมแฉ อดีตนักการเมืองชื่อดัง “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” กับ ทนายชื่อดัง “ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด” เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ซึ่งเคยเปิดศึกปมร้อน เรื่อง “ถุงเงิน” 6 ล้านบาท ฟาดกันไปแล้วแบบดุเดือด จนเหมือนเรื่องเงียบหายไป

 

 

ล่าสุด เปิดศึกยกที่สอง เมื่อเจ้าพ่อจอมแฉ ชูวิทย์ โพสต์คลิปร้อน ตำรวจท่องเที่ยว ยกกระเป๋า อำนวยความสะดวกให้กับ ทนายชื่อดัง ดุจ VVIP ซึ่งเจ้าตัว ก็ได้งัดคลิปโต้ตอบทันควัน กลายเป็นประเด็นร้อนที่ทำให้ ผบ.ตร. ต้องสั่งสอบเป็นการด่วน

 

ปมถุงเงิน

มหากาพย์ ชูวิทย์ VS ทนายตั้ม

 

เปิดฉากศึกถุงเงิน

 

1. เดือน มี.ค. 2566 “ทนายตั้ม” อยู่ๆ ก็เริ่มต้นเปิดศึก โพสต์รูปถุงกระดาษ 2 ใบ ที่มีเงินหลายปึกอยู่ในถุง พร้อมแคปชั่น “แฉไป ไถไป” และเขียนเพิ่มในคอมเมนต์ว่า ‘ไถสีเทามา 50 ล้าน บริจาคเอาหน้าที่ละ 3 ล้าน สร้างประเด็นตีข่าวแล้วไถ ใครยอมจ่ายก็ไม่พูดถึง เราจะยกย่องคนแบบนี้เป็นฮีโร่จริงหรือ’

 

2. หลังทนายตั้มโพสต์ได้ไม่กี่ชั่วโมง “ชูวิทย์” ก็โพสต์ภาพที่เขาเอาเงิน 6 ล้านบาท แบ่งไปบริจาคให้โรงพยาบาล 2 แห่ง คือ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ และ โรงพยาบาลศิริราช และยอมรับว่า เงินในถุงนั้น เป็นเงินของ “สารวัตรซัว” เพื่อให้เขายุติการแฉ เขาปฎิเสธ แต่ถูกยัดเยียดให้ เขาจึงตัดสินใจ นำเงินไปบริจาคให้โรงพยาบาล

 

3. ส่วนเงิน 50 ล้าน ที่ทนายตั้มพูดถึง ชูวิทย์ยืนยันว่าไม่มี แต่ถ้ามีเขาก็จะเอาไปบริจาคอีก พร้อมตั้งคำถามถึงทนายตั้มว่า คนที่จะถ่ายรูปถุงเงินนี้ได้ ก็ต้องเป็นเจ้าของเงินใช่หรือไม่

 

4. วันรุ่งขึ้น ทนายตั้ม ตั้งโต๊ะแถลงข่าวทันที โดยเขาอ้างว่า ได้ข้อมูลมาจากคนใกล้ชิดของชูวิทย์เอง เดิมทีชูวิทย์เป็นไอดอลของเขา แต่เมื่อรู้เรื่องนี้ เขารับไม่ได้จึงออกมาพูด เพื่อให้สังคมได้รู้ว่า การที่ชูวิทย์แฉนั้น เพื่อสังคมหรือเพื่อตัวเองกันแน่ หรือเป็นเพียงโรบินฮู้ดจอมปลอม

 

5. ทนายตั้มยังบอกอีกว่า เบื้องหลังการแฉสารวัตรซัว เกิดจากอาบอบนวดแห่งหนึ่ง ซึ่งเดิมเคยเป็นของชูวิทย์ และได้ขายให้ “เสี่ยกำพล” เมื่อหลายปีก่อน ต่อมาเสี่ยกำพลขายต่อให้สารวัตรซัว มีการปรับปรุงอาคาร เปลี่ยนชื่อเป็น “ลาลิซ่า” และเตรียมเปิดตัวอีกครั้ง เขายืนยันว่า ไม่มีความโกรธแค้นส่วนตัวกับชูวิทย์ ไม่ได้รับงานจากแก๊งพนันออนไลน์ และไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง

 

ทนายตั้มแฉ ปมถุงเงิน 6 ล้าน

6. ถัดมาเพียง 2 ชม. ชูวิทย์ก็แถลงบ้าง โดยบอกว่า คนที่เอาข้อมูลไปบอกทนายตั้มชื่อ “เปา” เป็นเด็กที่เขาอุปการะไว้ตั้งแต่เล็ก และทำงานด้วยกันมาโดยตลอด ช่วงที่เขาติดคุก 10 เดือน ได้มอบหมายให้เปา ไปเก็บค่าเช่าคอนโดฯ แต่เปาฮุบเงินไว้เอง พอจับได้ จึงลาออกไปทำงานกับสารวัตรซัว

 

7. ชูวิทย์ยืนยันว่า ถุงเงิน มี 6 ล้านบาทเท่านั้น คนที่นำเงินมาให้เป็นอดีตนายตำรวจ 2 คน ชื่อย่อ ป. กับ อ. สองคนนี้บอกว่าสารวัตรซัวอยากเคลียร์ทุกอย่างให้จบ เพราะต้องการเปิดลาลิซ่า แต่เขาไม่รับเคลียร์ จะเห็นว่าหลังจากวันนั้น เขาก็ยังแฉสารวัตรซัวอยู่

 

8. ชูวิทย์แฉกลับ พร้อมตั้งคำถามถึงทนายตั้มว่า รับงานใครมาโจมตีเขา และได้เงินเท่าไหร่ ทนายตั้มเป็นทนายความแต่กลับไม่แจ้งความ ไม่ฟ้องศาล ไปนั่งแถลงข่าวเหมือนคนหิวแสง จะเป็นทนายประชาชนหรือทนายเซเลบฯ

 

9. ชูวิทย์ได้มอบหมายให้ “ทนายอนันตชัย” ดำเนินคดีกับทนายตั้ม ซึ่งหากทนายตั้มให้สัมภาษณ์ หรือแถลงข่าวให้ชูวิทย์ได้รับความเสียหายอีก จะฟ้องเรียกค่าเสียหายครั้งละ 100 ล้านบาท

 

10. ต่อมา โรงพยาบาลศิริราช กับ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ แถลงว่าจะคืนเงินบริจาคทั้งหมดให้ชูวิทย์ เพื่อความสบายใจของสังคม เนื่องจากอาจเป็นเงินที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจผิดกฎหมาย

 

ปมเงินบริจาค

 

11. จากนั้น ทัวร์เปลี่ยนมาลงที่ทนายตั้มแบบเต็มๆ เพราะสังคมส่วนใหญ่เลือกทีมชูวิทย์ โดยเฉพาะ พุ่งเป้าไปที่ไลฟ์สไตล์ ที่เปลี่ยนไป ทั้งกินหรูอยู่แพง, แบรนด์เนมทั้งตัว เป็นทนายเซเลบฯ ขับรถหรู เที่ยวต่างประเทศ

 

12. ชูวิทย์แฉต่อ ด้วยการโพสต์ใบเสนอราคาของบริษัท ษิทรา ลอว์ เฟิร์ม (สำนักงานกฎหมายของทนายตั้ม) ซึ่งเรียกรับเงิน ‘ค่าแถลงข่าวออกสื่อ’ จากลูกความ 3 แสนบาท ชูวิทย์เขียนแคปชั่นว่า “แถลงไป ไถไป”

 

แถลงไป ไถไป

 

13. ทนายตั้ม ตั้งโต๊ะชี้แจงว่า 3 แสนบาทนั้น ไม่ใช่ค่าแถลงข่าว แต่เป็นค่าใช้จ่ายที่เขาอาจถูกฟ้องในอนาคต โดยเรียกเก็บเฉพาะเคสที่คาดว่าโดนฟ้องกลับแน่ๆ และลูกความก็มีสิทธิเลือกว่าจะเอาหรือไม่ ส่วนเรื่องไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป เขาบอกว่า เงินของเรา เรามีสิทธิใช้ เพราะทำงานมาเหนื่อย ผิดด้วยหรือ ยืนยัน ทุกอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้

 

เปิดศึกยกที่สอง

 

14. ชูวิทย์ โพสต์คลิปความยาว 20 วินาที ลงเฟซบุ๊กส่วนตัว ซึ่งปรากฏเป็นภาพของหญิงสาว กับทนายตั้ม อยู่ในสนามบิน โดยมีเจ้าหน้าที่สายการบิน ยืนไหว้ต้อนรับอย่างพร้อมเพรียง จากนั้น มีตำรวจท่องเที่ยวจำนวน 2 นาย เข้าไปช่วยเหลือลากกระเป๋าเดินทางไปยังจุดตรวจ

 

15. ทนายตั้ม สวนกลับทันที ด้วยการโพสต์คลิป ซึ่งเป็นเสียงพูดคุย บุคคล 2 คน เพื่อขอใช้สิทธิพิเศษ ฝากลูกชายเข้าเป็นทหาร ซึ่งน้ำเสียงที่ได้ยิน ชัดเจนว่าเป็นเสียงของ ชูวิทย์ โดยทนายตั้ม เหน็บว่า “เป็นโจรที่มีแฟนคลับนี่ดีจังนะครับ รับเงินโจรก็ไม่ผิด”

 

16. ด้านชูวิทย์ ตอกกลับทันที ระบุว่า รอมานานแฉได้แค่นี้ ชี้เรื่องฝากลูกเป็นแค่ทหารเกณฑ์ และเป็นคลิปเก่า 10 ปีก่อน สื่อเคยเอาไปลงรู้กันทั่วแล้ว

 

17. หลังเป็นข่าว โฆษกตำรวจท่องเที่ยว ชี้แจงว่า คลิปที่ออกมา เป็นภาพเก่า ยอมรับว่า เข้าไปอำนวยความสะดวกจริง สั่งตรวจสอบแล้ว ยืนยันว่า เป็นการทำตามคำสั่งผู้ใหญ่ หรือดูแลนักท่องเที่ยวตามปกติ

 

                 คลิปตำรวจท่องเที่ยว

 

18. โซเชียลเดือดต่อ เมื่อมีตำรวจท่องเที่ยวนายหนึ่ง เปิดเผยกับทางทีมงานรายการ “เคลียร์ ชัด ชัด” ว่า เป็นเรื่องจริง โดยทุกครั้งที่ทนายคนดังเดินทางมา หรือ ผู้มีอำนาจคนใหญ่คนโต ตำรวจท่องเที่ยวชั้นผู้น้อย มักจะโดนนายสั่งให้ไปบริการดุจราชา ตั้งแต่แรกเข้าสนามบิน ตำรวจท่องเที่ยวจะต้องเอารถขับไปจอดให้ จอดเสร็จ ก็จะมีตำรวจอีกทีม ยกกระเป๋าไปที่เคาน์เตอร์ เพื่อทำการเชคอิน ส่งต่อให้ตำรวจ ตม. ในการประสานเดินทางเข้าเกทแบบ Fast track

 

19. ล่าสุด ผบ.ตร. มีคำสั่งด่วน ให้ตรวจสอบทุกประเด็น คลิปตำรวจท่องเที่ยวอำนวยความสะดวก ขนกระเป๋า ให้กับทนายชื่อดัง พร้อมสั่งทำ SOP การทำงานของตำรวจท่องเที่ยว ให้ชัดเจน เป็นมาตรฐานเดียวกัน ไม่เลือกปฏิบัติ

 

เรื่องนี้ทำให้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก ทั้งในแวดวงตำรวจและชาวโซเชียล อาชีพตำรวจเป็นอาชีพบริการประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน หรือต้องการความช่วยเหลือ แต่ภาพที่ปรากฎ กลับทำตำรวจไทยเป็นบ๋อยโรงแรมไปได้

 

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ