ข่าว

จับอีก1พันบึ้มกรุง-ฝ่ายมั่นคงเชื่อไม่เกี่ยวไฟใต้

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ที่มา : หน้า 1 หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก ฉบับวันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม 2562

 


 

          ฝ่ายมั่นคงเชื่อเหตุบึ้ม กทม.ไม่เกี่ยวไฟใต้คาดแค่ "มือรับจ้าง" บุกรวบอีก 1  หลัง 2 ผู้ต้องหาซักทอด พฐก.พบเพิ่มลายนิ้วมือกลุ่มบุคคล ตร.เผยภาพ 4 ต้องสงสัย 

 

          ยังคงเดินหน้าสืบสวนสอบสวนเพื่อจับกุมตัวกลุ่มผู้ต้องหาลอบวางบึ้มป่วนกรุงหลายจุด เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นภัยต่อประเทศชาติในทุกๆ ด้าน โดยเจ้าหน้าที่กำลังทำงานอย่างหนักเพื่อคลี่คลายคดีดังกล่าว ล่าสุดมีรายงานจากฝ่ายความมั่นคงว่า เหตุการณ์ระเบิดป่วนกรุงอาจไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์ไฟใต้ นอกจากนี้ในการตรวจหลักฐานยังพบดีเอ็นเอและลายนิ้วมือแฝงของกลุ่มบุคคลที่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้


          ฝ่ายมั่นคงเร่งคลี่คลายเหตุป่วนกรุง
          ล่าสุดเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม แหล่งข่าวความมั่นคงระบุว่า ในส่วนของเหตุระเบิดที่ซอยพระราม 9 แยก 57/1 (ซอยวิเศษสุข) พื้นที่ สน.หัวหมาก ส่งผลมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 4 รายนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจสน.หัวหมาก ได้ควบคุมตัว นายดนุนัล เลี้ยงสอน อายุ 19 ปี และเยาวชนชายอายุระหว่าง 15-17 ปี รวม 7 คน เป็นนักเรียนสถาบันอาชีวะแห่งหนึ่งมาสอบปากคำ พร้อมของกลางระเบิดแบบประดิษฐ์ทำเอง 1 ลูก อาวุธปืนปากกา 1 กระบอก เครื่องกระสุนปืนขนาด .38 จำนวน 1 นัด และอาวุธมีด 2 เล่ม ซึ่งหนึ่งในผู้ต้องหาสารภาพว่าระเบิดปิงปองที่พบและเกิดระเบิดขึ้นนั้นทางกลุ่มได้นำไปซุกซ่อนในจุดดังกล่าวเพื่อเตรียมไว้ป้องกันตัว โดยไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดในจุดอื่นๆ แต่อย่างใด เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน ร่วมกันมีวัตถุระเบิดไว้ในความครอบครอง และพกพา ก่อนเตรียมนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไปขอส่งสถานพินิจฯ เพื่อดำเนินคดี


          เชื่อวางบึ้มกทม.ไม่เกี่ยวไฟใต้
          ขณะที่การสอบสวนเหตุการณ์ในจุดอื่นๆ ราว 10 จุด หลังจากตำรวจจับกุมตัว นายลูไซ แซแง อายุ 23 ปี และนายวิลดัน มาหะ อายุ 29 ปี ชาวนราธิวาส ผู้ต้องสงสัยที่นำระเบิดมาวางหน้าป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ที่ จ.ชุมพร นั้น ปรากฏว่า ผู้ต้องสงสัยได้รับสารภาพว่าเป็นคนก่อเหตุที่หน้าป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติจริง โดยก่อเหตุเพียงแค่จุดเดียวไม่เกี่ยวข้องกับจุดอื่นๆ และยังไม่เปิดเผยถึงมูลเหตุจูงใจ


          “การสอบสวนในเชิงลึกพบว่าผู้ต้องสงสัยมีชื่ออยู่ในแนวร่วมกลุ่มก่อความไม่สงบพื้นที่ชายแดนภาคใต้จริง แต่เป็นเพียงระดับปฏิบัติการไม่ใช่ระดับแกนนำอย่างที่มีกระแสข่าว อีกทั้งรูปแบบการก่อเหตุค่อนข้างแตกต่างจากในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ที่เมื่อหลังก่อเหตุแล้วจะมีการประกาศความรับผิดชอบจากทางกลุ่ม แต่เหตุการณ์ที่กทม. ผู้ต้องสงสัยก็ไม่ทราบเกี่ยวกับการก่อเหตุในจุดอื่นๆ และไม่ประกาศความรับผิดชอบแต่อย่างใด จึงคาดว่าผู้ต้องสงสัยอาจรับจ้างจากกลุ่มอื่นที่ไม่เกี่ยวกับปัญหาในชายแดนภาคใต้มาก่อเหตุสร้างสถานการณ์เท่านั้น”


          นอกจากนี้ยังมีรายงานว่ารัฐบาลได้สั่งการให้ สตช.ดูแล และให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ต้องสงสัยตามหลักสากล โดยไม่มีการซ้อมตามที่ญาติผู้ต้องสงสัยแสดงความเป็นห่วง พร้อมทั้งกำชับให้ทุกภาคส่วนเร่งตามตัวผู้ก่อเหตุรายอื่นมาสอบสวนหาข้อเท็จจริงและดำเนินคดีต่อไป


          ภาพ 2 หนุ่มวางบึ้มช่องนนทรี
          ขณะเดียวกันมีรายงานข่าวแจ้งว่าชุดสืบสวนคลี่คลายคดีระเบิดป่วนทั่วกรุงเทพฯ ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดที่มีเหตุระเบิด 2 จุดของพื้นที่ สน.ยานนาวา โดยจุดแรกบริเวณลานจอดรถด้านหน้าอาคารคิงเพาเวอร์มหานคร และจุดที่ 2 บริเวณพุ่มไม้ใต้สะพานลอยสถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรี เมื่อช่วงเช้าวันที่ 2 สิงหาคม ที่ผ่านมานั้น พบว่ามีภาพจากกล้องวงจรปิดบนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสช่องนนทรี สามารถจับภาพชายต้องสงสัย 2 รายไว้ได้ภายหลังจากก่อเหตุเสร็จได้เดินขึ้นสถานีรถไฟฟ้าแห่งนี้ โดยรายแรกกล้องระบุเวลา 15.40 น.วันที่ 1 สิงหาคม พบมีชายต้องสงสัยรูปร่างสันทัด ใส่หมวกแก๊ปสีแดง-ขาว สวมหน้ากากอนามัย สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว นุ่งกางเกงสแล็คสีดำ สะพายกระเป๋าผ้าแบบสะพายข้างสีเขียว เดินเข้าไปในสถานีรถไฟฟ้าดังกล่าว ต่อมารายที่ 2 เวลาคล้อยหลังกันเพียง 1 นาที พบชายต้องสงสัยรูปร่างสันทัด สวมหมวกแก๊ปสีขาว-ดำ ใส่แว่นตากันแดดสีดำและใส่หน้ากากอนามัย สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้นสีเทา นุ่งกางเกงขาสามส่วนสีเทาเข้ม สะพายเป้สีดำ เดินเข้าสถานีรถไฟฟ้าดังกล่าวเช่นกัน แต่ไม่เดินไปทางเดียวกัน ก่อนทั้งคู่จะมาลงที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสยาม

 

          ปิดภาพ‘มือบึ้ม’ประตูน้ำ4จุด
          ด้านความคืบหน้ากรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้ 4 จุดย่านประตูน้ำ ทั้งอาคารในตลาดไซด์วอร์ค​ ภายในซอยเพชรบุรี​ 19 ร้าน​ “ฮ็อบ” และร้าน “ปุ๋ย​ แฟชั่น” ที่เปิดเป็นร้านขายเสื้อผ้าและเป็นห้องแถวที่อยู่ด้านหน้าตลาดเฉลิมลาภ ต่อมากองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) พบหลักฐานจาก 3 จุดใน 4 ที่เกิดเหตุลักษณะคล้ายระเบิดเพลิง มีชิ้นส่วนของเพาเวอร์แบงก์ไหม้ไฟและตัวไทม์เมอร์ตั้งเวลา (แผงวงจร)

จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดของเจ้าหน้าที่บริเวณทางเข้าศูนย์การค้าอินทรา (ซอยวังทอง) ถนนราชปรารภ ห่างจากที่เกิดเหตุแรกคือร้าน “ปุ๋ย​ แฟชั่น” ใต้โรงแรมอินทราประมาณ 200 เมตร สามารถจับภาพผู้ต้องสงสัยเป็นชายลักษณะการแต่งกายกางเกงขาสั้นปกเข่าสีดำ เสื้อเชิ้ตสีขาว รองเท้าผ้าใบยางสีดำ สะพายกระเป๋าเป้แบบวัยรุ่นสีน้ำเงิน สวมหมวกสีน้ำตาล ปิดบังใบหน้าด้วยหน้ากากอนามัย อย่างไรก็ตามชุดคลี่คลายคดีอยู่ระหว่างการหากล้องวงจรปิดอื่นๆ เพื่อเทียบเคียงบุคคลว่ามีการก่อเหตุต่อเนื่องในพื้นที่อื่นๆ อีกหรือไม่อย่างไร รวมถึงหาความเชื่อมโยงในช่วงเวลาที่เกิดเหตุด้วย


          เผยภาพวางบึ้มศูนย์ราชการ
          รายงานข่าวแจ้งว่าชุดสืบสวนคลี่คลายคดีระเบิดทั่วกรุงเทพฯ ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบเส้นทางการหลบหนีของคนร้ายที่ลงมือวางระเบิดที่ศูนย์ราชการทั้งหมด 4 จุดนั้น โดยพบว่าภายหลังจากลงมือในสถานที่ดังกล่าวแล้วมีหนึ่งในผู้ต้องสงสัยเป็นชายสูงประมาณ 165 เซนติเมตร ใส่แวนกันแดดสีดำ สวมหมวกแก๊ปสีดำ ใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาว สีฟ้าอ่อน นุ่งกางเกงลายสีน้ำตาล สะพายกระเป๋าเป้สีดำ เดินทางหลบหนีไปยังห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านแจ้งวัฒนะ เมื่อไปถึงภายในห้างได้เข้าไปในห้องน้ำก่อนจะเดินออกมา ซึ่งพบว่ามีการเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย เป็นใส่แว่นตาดำเช่นเดิม แต่สวมหมวกแก๊ปสีเหลือง ใส่หน้ากากอนามัยสีเหลือง สวมเสื้อยืดคอกลมแขนสั้น ลายหัวกะโหลกสีดำ นุ่งกางเกงยีนสีซีด ขาสามส่วน ใส่รองเท้าผ้าใบแบบกีฬาสีแดง ที่ข้อมือซ้ายใส่นาฬิกาสีเหลืองและสะพายกระเป๋าเป้สีดำ เดินออกไปจากห้างดังกล่าว


          จากนั้นชุดสืบสวนจึงลงพื้นที่ตรวจสอบภายในห้องน้ำแห่งนี้จนพบกระเป๋าเป้ขนาดใหญ่ ระบุตัวอักษรภาษาอังกฤษ “Naan” เมื่อเปิดดูด้านในพบเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อน 1 ตัว กางเกงสแล็คขายาว สีน้ำตาลอ่อน 1 ตัว เข็มขัดแบบผ้า สีกรมท่าขีดสีแดง 1 เส้น หมวกแก๊ประบุตัวอักษรภาษาอังกฤษ “BLACK” และรองเท้าผ้าใบแบบสวมสีดำ 1 คู่ ซึ่งเชื่อว่าเป็นของผู้ต้องสงสัยรายนี้ทิ้งไว้ จึงรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน อย่างไรก็ตามตำรวจอยู่ระหว่างทำงาน เร่งติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้ต่อไป


          พฐก.เก็บดีเอ็นเอ “2 มือบึ้ม”
          วันเดียวกันที่กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บก.สส.บชน.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทีมสืบสวนและทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องประชุมสรุปงานสืบสวนติดตามจับกุมคนร้ายลอบวางระเบิดหลายจุดทั่วกทม. โดยการประชุมผ่านไปกว่า 2 ชั่วโมง แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจออกมาให้ข้อมูลหรือเปิดเผยความคืบหน้าคดีจากการสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้องแจ้งว่าทางพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. จะให้ข้อมูลแต่เพียงผู้เดียว


          ด้าน พล.ต.ต.ทิวธวัช นครศรี ผบก.พฐก. เปิดเผยว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้เก็บตัวอย่างดีเอ็นเอของผู้ต้องสงสัย 2 คนที่ถูกควบคุมตัวไว้ที่ศูนย์ปฏิบัติการสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เรียบร้อยแล้ว มีการสกัดเอาตัวอย่างดีเอ็นเอในห้องปฏิบัติการและนำเข้าเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวเคยมีประวัติความเกี่ยวข้องกับคดีในพื้นที่ภาคใต้หรือเหตุอื่นๆ หรือไม่ นอกจากนี้จะนำตัวอย่างดีเอ็นเอที่ได้ไปเปรียบเทียบกับพยานหลักฐานที่เก็บได้ในที่เกิดเหตุ ทั้งจากตัววัตถุระเบิดและอุปกรณ์ต่างๆ ที่อยู่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน ก็จะทราบว่าตัวอย่างดีเอ็นเอของผู้ต้องสงสัย 2 คนจะตรงกับเหตุที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือไม่ ก่อนจะส่งข้อมูลดังกล่าวให้คณะทำงานในคดีตั้งข้อหาตามขั้นตอนกระบวนการต่อไป


          พบเพิ่มลายนิ้วมือกลุ่มบุคคล
          พล.ต.ต.ทิวธวัช กล่าวอีกว่า กรณีการเก็บพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุจากเหตุระเบิดตามจุดต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้นำชิ้นส่วนและวัสดุอุปกรณ์ระเบิดมาตรวจหาลายนิ้วมือแฝงและตัวอย่างดีเอ็นเอ ขณะนี้พบว่ามีชุดตัวอย่างดีเอ็นเอและลายนิ้วมือจากกลุ่มบุคคลจำนวนหนึ่งแต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้เนื่องจากอยู่ระหว่างการตรวจสอบเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลที่มีและต้องนำรายงานส่งให้คณะทำงานตรวจสอบเพิ่มเติม ส่วนการตรวจสอบลักษณะเฉพาะของวัตถุระเบิดขณะนี้การทำงานมีความคืบหน้าไปมากเนื่องจากวัตถุระเบิดบางชิ้นไม่เกิดการระเบิดจึงทำให้สามารถตรวจสอบหาลักษณะเฉพาะของระเบิดได้ ส่วนระเบิดที่มีการทำงานไปแล้วก็จะนำมาประกอบเพิ่มเติมเพื่อหาลักษณะเทียบเคียงกับลักษณะเฉพาะของมือระเบิดในพื้นที่ต่างๆ และใช้ในการดำเนินคดีหากมีการจับกุมผู้ต้องหาหรือผู้ต้องสงสัยได้


          แฉ11คนร้ายลงมือระเบิด9ลูก
          แหล่งข่าวระดับสูงจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เปิดเผยลำดับเหตุการณ์วางเพลิงและระเบิดในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเมื่อวันที่ 1 ต่อเนื่องวันที่ 2 สิงหาคม ที่ผ่านมา ว่า เมื่อเวลา 15.40 น.วันที่ 1 สิงกาคม บริเวณหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถนนพระราม 1 พื้นที่ สน.ปทุมวัน จำนวนระเบิด 2 ลูก การปฏิบัติเก็บกู้ได้จำนวน 2 ลูก คนร้ายจำนวน 2 คน วันที่ 2 สิงหาคม เวลา 06.09 น. จำนวนระเบิด 1 ลูก บริเวณทางเข้าศูนย์ราชการอาคารบี พื้นที่ สน.ทุ่งสองห้อง เกิดระเบิดไม่มีผู้บาดเจ็บ เวลา 08.43 น. จำนวนระเบิด 1 ลูก บริเวณทางออกศูนย์ราชการอาคาร บี พื้นที่ สน.ทุ่งสองห้อง เกิดระเบิดไม่มีผู้บาดเจ็บ เวลา 09.09 น. จำนวนระเบิด 1 ลูก บริเวณหน้า บก.กองทัพไทย พื้นที่ สน.ทุ่งสองห้อง เกิดระเบิดไม่มีผู้บาดเจ็บ เวลา 11.00 น. จำนวนระเบิด 1 ลูก บริเวณใกล้ บก.กองทัพไทย พื้นที่ สน.ทุ่งสองห้อง เก็บกู้ได้ 1 ลูก โดยทั้งสี่เหตุในพื้นที่ สน.ทุ่งสองห้อง คนร้ายจำนวน 2 คน


          วันที่ 2 สิงหาคม เวลา 08.30 น. จำนวนระเบิด 1 ลูก บริเวณหน้าตึกคิงเพาเวอร์มหานคร พื้นที่ สน.ยานนาวา เกิดระเบิดมีผู้บาดเจ็บ 1 ราย นายเอกรินทร์ ยศสันเที้ยะ พนักงานรักษาความปลอดภัย บาดเจ็บที่ข้อเท้า เวลา 08.36 น. จำนวนระเบิด 1 ลูก บริเวณลานจอดรถหน้าตึกคิงเพาเวอร์มหานคร เกิดระเบิดมีผู้บาดเจ็บ 1 ราย นายชนะใจ เลาะมุด ช่างไฟฟ้า บาดเจ็บที่เท้า คนร้ายจำนวน 2 คน วันที่ 2 สิงหาคม เวลา 08.40 น. จำนวนระเบิด 1 ลูก บริเวณสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม (ศรีสมาน) สภ.ปากเกร็ด เกิดระเบิดไม่มีผู้บาดเจ็บ คนร้าย 2 คน


          ส่วนเหตุการณ์ไฟไหม้ เวลา 04.40 น. เพลิงไหม้ตลาดประตูน้ำ 4 จุด สน.พญาไท เป็นระเบิดเพลิงใช้เพาเวอร์แบงก์ กับแอลกอฮอล์เหลว คนร้ายจำนวน 2 คน เวลา 04.37 น.เพลิงไหม้ร้านมนิโซ สยามสแควร์วัน สน.ปทุมวัน ไม่มีผู้บาดเจ็บ และเวลา 04.50 น. เพลิงไหม้สยามพารากอน สน.ปทุมวัน ไม่มีผู้บาดเจ็บ โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคนร้ายมีจำนวน 11 คน จำนวนระเบิด 9 ลูก เกิดเหตุระเบิด 6 ลูก เก็บกู้ได้ 3 ลูก

 



          ตร.เร่งขยายผลล่าผู้ร่วมขบวนการ
          ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงกรณีมีกระแสข่าวการควบคุมตัว 2 ผู้ต้องสงสัยก่อเหตุวางระเบิดบริเวณป้ายหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ที่ผ่านมา และการจับกุมตัวผู้กระทำผิดซึ่งนำระเบิดปิงปองไปซุกซ่อนไว้บริเวณที่เกิดเหตุในถนนพระราม 9 ซอย 57/1 ว่า ขอยืนยันว่าการดำเนินการทั้งหมดของตำรวจนั้นเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการให้ข้อมูลปากคำที่เป็นประโยชน์เพื่อที่จะสอบสวนขยายผลหาตัวผู้ร่วมกระทำความผิดมาดำเนินคดี ซึ่งในเรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้กำชับและสั่งการมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ยึดและปฏิบัติตามหลักกฎหมายโดยเคร่งครัด


          พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มีคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน โดยมอบหมายให้นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ประกอบด้วย จเรตำรวจแห่งชาติ และรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงไปกำกับดูแลคดีด้วยตนเองอีกชั้นหนึ่ง จึงขอให้พี่น้องประชาชนเชื่อมั่นว่าตำรวจจะดำเนินการด้วยความถูกต้อง เที่ยงธรรม และสามารถชี้แจงต่อสาธารณชนได้ อย่างไรก็ตามขอฝากพี่น้องประชาชนให้ติดตามข่าวสารจากทางราชการหรือหน่วยงานของรัฐเพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งหากมีข้อมูลเพิ่มเติมสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะได้นำเรียนให้พี่น้องประชาชนทราบต่อไป


          คุม2คนร้ายตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน
          พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการควบคุมตัว 2 ผู้ต้องสงสัยลอบวางวัตถุระเบิดที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และอาจเชื่อมโยงกับอีกหลายจุด ว่าหลังจากที่เจ้าหน้าที่จับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ตามหมายจับที่ศาลได้อนุมัติให้ตามพ.ร.ก.บริหารราชในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 และได้ให้อำนาจสามารควบคุมตัวไว้ได้จำนวน 7 วัน หลังจากจับกุมตัวได้นั้น โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการควบคุมตัวไปเพื่อสืบสวนสอบสวนและขยายผลเป็นเวลาจำนวน 7 วัน ตั้งแต่วนที่ 2-8 สิงหาคม โดยทั้ง 2 รายถูกควบคุมตัวไว้ตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม มีการตรวจร่างกายและเข้าสู่กระบวนการซักถาม ส่วนของสิทธิผู้ต้องหาขั้นพื้นฐานที่จะได้รับการเยี่ยมของญาตินั้น บิดามารดา และภรรยา สามารถติดต่อเยี่ยมได้ตามปกติ โดยมีแนวทางการปฏิบัติในการเยี่ยมญาติจากเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง


          "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำชับมายัง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. มาโดยตลอด ให้ทำงานด้วยความเป็นมืออาชีพยึดหลักกฎหมายระเบียบข้อบังคับสามารถตรวจสอบได้และเป็นที่พึ่งของประชาชนได้อย่างแท้จริง โดย ผบ.ตร. ได้กำชับและสั่งการให้เจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องทำการสืบสวนสอบสวนด้วยความรวดเร็วโปร่งใสเป็นธรรม ยึดหลักกฎหมาย สิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ต้องหาที่ควรได้รับ นำพยานหลักฐานในทางนิติวิทยาศาสตร์มาเชื่อมโยงถึงการกระทำความผิดเป็นสำคัญ เพื่อทำความจริงให้ปรากฏเกิดความเชื่อมั่นและตอบคำถามสังคมได้


          ยันผู้ต้องหาทั้ง2คนปลอดภัยดี
          รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวต่อว่า ผู้ต้องสงสัยทั้ง 2 รายปลอดภัยดี ขณะนี้อยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่ ยืนยันได้รับสิทธิของผู้ถูกซักถามตามปกติ และใช้มาตรฐานเดียวกันกับผู้ควบคุมรายอื่น เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมโดยปฏิบัติตามกรอบกฎหมาย และจัดให้ได้รับสิทธิของผู้ถูกควบคุมตามปกติ ไม่ได้เป็นไปตามข่าวลืออื่นๆ ตามที่ปรากฏในโลกโซเชียลแต่อย่างใด ขอเวลาให้เจ้าหน้าที่ในการทำงานขอให้เชื่อมั่นและติดตามข่าวสารที่ถูกต้องจากทางราชการเท่านั้น


          แม่ยันลูกชายเป็นคนดีมาก
          วันเดียวกัน นางรอฮานิง มาหะมะ แม่ของนายลูไอ แซแง พร้อมด้วยครอบครัวของนายวิลดัน มาหะ ผู้ต้องสงสัยในคดีวางระเบิดหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวไว้ได้ หลังก่อเหตุและหลบหนีไปเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ล่าสุดเดินทางเข้ามายังกรุงเทพมหานคร โดยใช้รถไฟขบวนรถเร็วที่ 172 สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส มาลงที่สถานีรถไฟหัวลำโพงเพื่อมาขอเยี่ยมลูกชายและสอบถามข้อเท็จจริงจากปากลูกชายว่าได้ก่อเหตุจริงหรือไม่


          นางรอฮานิง มาหะมะ กล่าวว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่มีเจ้าหน้าที่ติดต่อเข้ามา และกำลังรอการติดต่อจากเจ้าหน้าที่อยู่ อยากให้เจ้าหน้าที่ติดต่อมาแจ้งความปลอดภัยของลูกชาย ให้ได้ยินเสียงก็ยังดี เพราะขณะนี้ที่บ้านและเด็กนักเรียนที่ลูกชายสอนอยู่นั้นก็ยังรอการกลับมาอยู่ และหากลูกชายทำผิดหรือไม่ผิดอย่างไรก็ขอให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม พร้อมทั้งอยากขอให้เจ้าหน้าที่ให้ความยุติธรรมกับลูกชาย ไม่อยากให้ทำร้ายลูกชาย เพราะตอนนี้ 3 วันแล้วยังไม่ได้รับการติดต่อใดๆ เลย ขอยืนยันว่าลูกชายเป็นคนนิสัยดีมาก ซึ่งอยากให้ลงไปในพื้นที่เพื่อสอบถามคนในพื้นที่ดูได้ และตอนนี้ลูกชายกำลังจะรับปริญญา และเรียนต่อ ป.โทด้วย


          “เมืองนนท์”ระเบิดปิงปอง2ลูก
          เมื่อเวลา 14.30 น.เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปากเกร็ด และชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด หรือ EOD เข้าทำการตรวจสอบหลังจากมีพลเมืองดีพบวัตถุเป็นลักษณะก้อนกลมพันด้วยเทปพันสายไฟ จำนวน 2 ลูก วางอยู่บริเวณริมถนนหน้าร้านสะดวกซื้อ ปากซอยวัดสลักเหนือ ถนนติวานนท์ ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี หลังตรวจสอบพบว่าเป็นระเบิดปิงปอง


          ขณะเดียวกันจากการสอบถามพ่อค้าแม่ค้าใกล้ที่เกิดเหตุที่พบระเบิดปิงปอง ให้ข้อมูลว่าเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมามีกลุ่มวัยรุ่นขับขี่รถ จักรยานยนต์มา และขว้างปาระเบิดปิงปองมาจำนวน 3 ลูก ใส่คู่อริ แต่เกิดระเบิดไปเพียง 1 ลูกเท่านั้น ซึ่ง 2 ลูกนี้ยังไม่ระเบิด ขณะที่ทางชุด EOD ได้เก็บกู้ได้เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดในจุดเกิดเหตุเพื่อติดตามตัวผู้ที่นำระเบิดปิงปองมาขว้างปาดังกล่าวมาสอบสวนเพิ่มเติมต่อไป


          พบรถต้องสงสัยสถานีรถไฟหัวหิน
          วันเดียวกันเวลา 13.00 น. พ.ต.อ.ธนากร วงศ์สิริลักษณ์ ผกก.สภ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ รับแจ้งจากนายประสงค์ โกมุก นายสถานีรถไฟหัวหินว่าพบจักรยานยนต์ต้องสงสัยจอดทิ้งไว้หลายวันบริเวณลานจอดรถด้านข้างสถานีรถไฟหัวหิน จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ จากนั้นพร้อมด้วย นายพัลลภ สิงหเสนี ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายอำเภอหัวหิน กอ.รมน.ประจวบฯ ชุดสืบสวนและหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดค่ายนเรศวร พร้อมสุนัขดมกลิ่นเข้าตรวจสอบรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า ทะเบียน ขกค 35 นราธิวาส ที่จอดรวมอีกหลายคันก่อสุนัขดมกลิ่นเกิดผิดปกติขึ้นไปนั่งบนเบาะรถคันดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงตัดสินใจปิดการจราจรโดยรอบ ตัดสัญญาณโทรศัพท์พร้อมทั้งตั้งปืนแรงดันน้ำสูงฉีดทำลาย รวมถึงจักรยานยนต์ทะเบียนจังหวัดภาคใต้ที่จอดขนาบทั้ง 2 ข้างอีก 2 คันท่ามกลางลุ้นระทึกของผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวที่อยู่ในเหตุการณ์ จากนั้นเข้าตรวจสอบและไม่พบผิดสิ่งปกติแต่อย่างใดก่อนให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้าเก็บรอยนิ้วมือและตรวจประวัติเจ้าของรถทั้ง 3 คัน


          พ.ต.อ.ธนากร กล่าวว่า การตรวจสอบเป็นไปตามมาตรการการรักษาความปลอดภัย อีกทั้งสุนัขดมกลิ่นตอบสนองต่อรถทั้ง 3 คันเจ้าหน้าที่คาดว่าอาจมีกลิ่นของปุ๋ยยูเรียผสมกับกลิ่นน้ำมัน หลังตรวจสอบแล้วยืนยันว่ารถทั้ง 3 คันไม่พบสารตั้งต้นในการประกอบระเบิดแต่อย่างใด สำหรับการแชร์ข้อมูลในสังคมโซเชียลระบุว่าได้ยินเสียงดังคล้ายระเบิดในบริเวณสถานีรถไฟนั้นยืนยันว่าไม่มีเหตุระเบิดแต่อย่างใด เป็นเสียงดังจากเสียงปืนยิงน้ำแรงดันสูง ล่าสุดได้ยกเลิกการปิดกั้นพื้นที่และเปิดให้ประชาชนใช้เส้นทางได้รวมทั้งผู้โดยสารสามารถเดินทางได้ตามปกติ


          อีโอดียิงทำลาย-ปิดกั้นพิ้นที่ทั้งหมด
          สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าวก่อนหน้านี้ทวิตเตอร์ สวพ.FM91 @fm91trafficpro รายงานว่า ด่วน!ตรวจสอบวัตถุต้องสงสัย “บริเวณที่จอดรถสถานีรถไฟหัวหิน” ตั้งอยู่ที่ถนนพระปกเกล้า ตำบลหัวหิน อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ขณะนี้เจ้าหน้าที่ปิดพื้นที่ห้ามไม่ให้เข้าพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในพื้นที่ดังกล่าว ทั้งนี้พบว่าประชาชนในพื้นที่ได้โพสต์ข้อความผ่านกลุ่มพลเมืองในนครหัวหิน ว่าเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนมากปิดกั้นพื้นที่บริวเวณสถานีรถไฟ และได้ยินเสียงคล้ายระเบิดดังขึ้นจากบริเวณดังกล่าว


          ต่อมาเมื่อเวลา 10.30 น. มีรายงานข่าวแจ้งว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจรถไฟตรวจสอบรถจักรยานยนต์ต้องสงสัยที่ลานจอดรถสถานีหัวหิน โดยรถต้องสงสัยเลขที่ทะเบียนไม่ตรงกับรถแจ้งผู้เกี่ยวข้องทราบ จากนั้นเจ้าหน้าที่อีโอดี ค่ายนเรศวร เข้าตรวจสอบและมีเสียงดังขึ้น 3 ครั้ง คาดว่าเจ้าหน้าที่ได้ยิงทำลายวัตถุต้องสงสัย โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หัวหิน และฝ่ายความมั่นคง ปิดล้อมรอบพื้นที่สถานีรถไฟหัวหินด้านละกว่าเกือบ 200 เมตร นานกว่า 2 ชั่วโมง และห้ามมิให้ผู้สื่อข่าวบันทึกภาพ


          มีรายงานว่าสำหรับวัตถุต้องสงสัยเบื้องต้นเป็นรถจักรยานยนต์ ป้ายทะเบียนปัตตานี ยะลา นราธิวาส รวม 3 คัน ซึ่งเป็นรถจักรยานยนต์จากนอกพื้นที่ ถูกจอดไว้ที่หน้าสถานีรถไฟหัวหิน ข้อมูลกับป้ายทะเบียนไม่ตรงกัน ทั้งนี้การปิดถนนรอบสถานีรถไฟหัวหินทำให้ผู้โดยสารติดค้างอยู่ด้านนอกเป็นจำนวนมาก พร้อมสั่งห้ามบันทึกภาพรอบพื้นที่ รอการแถลงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมกันนี้ได้มีการสั่งหยุดขบวนรถไฟทุกขบวนที่จะเข้าสถานีรถไฟหัวหินเป็นการชั่วคราว


          “บิ๊กตู่”ไม่ลดเข้มความปลอดภัย
          วันเดียวกัน นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้ติดตามความคืบหน้าเหตุระเบิดในกรุงเทพมหานครอย่างใกล้ชิด โดยล่าสุดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ได้รายงานว่า สถานการณ์ไดคลี่คลายลงแล้ว นายกฯ ยังสั่งการให้การรักษาความปลอดภัยมีมาตรการเท่าเดิม ตามที่เพิ่มตั้งแต่เกิดเหตุ ไม่ได้ลดระดับลง และฝากประชาชนอย่าประมาท หากพบเหตุต้องสงสัยให้แจ้งเจ้าหน้าที่


          ส่วนกรณีแม่ของผู้ต้องสงสัยชาว จ.นราธิวาส เดินทางมากรุงเทพฯ เพื่อติดตามตัวลูกชายที่ติดต่อไม่ได้มา 3 วันแล้ว และร้องขอให้เจ้าหน้าที่แจ้งที่อยู่ว่าปลอดภัยหรือไม่ พร้อมทั้งขอให้การสืบสวนเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมนั้น นายกฯ ได้กำชับ ผบ.ตร. ให้สอบสวนไปตามกระบวนการยุติธรรม ให้ถูกต้อง เป็นธรรมกับทุกฝ่าย ซึ่ง ผบ.ตร.จะชี้แจงให้ทราบโดยเร็ว ส่วนที่มีข้อสงสัยและข่าวลือต่างๆ ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ขณะนี้ตำรวจดูแลผู้ต้องสงสัยอยู่ในความปลอดภัย จะแจ้งให้ญาติทราบต่อไป


          พปชร.จวกเสรีพิศุทธ์สิ้นคิด
          ด้านนายธนกร วังบุญคงชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ระบุว่ารัฐบาลอาจจะอยู่เบื้องหลังสถานการณ์วางระเบิดป่วนกทม. เพื่อกลบข่าว พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวคำถวายสัตย์ฯ ไม่ครบว่า รู้สึกผิดหวังกับพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์มาก ทั้งที่เป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมืองและเคยเป็นถึงผบ.ตร. แต่กลับคิดได้แค่นี้ เพราะไม่มีรัฐบาลที่ไหนที่คิดทำร้ายประเทศและประชาชนแบบนี้ ที่สำคัญไม่มีใครเอาชีวิตพี่น้องประชาชนมาเล่นเกม
     

          “ที่ผ่านมาบ้านเมืองสงบ ประชาชนมีความสุขมากว่า 5 ปีแล้ว ขอสาปแช่งให้คนทำและคนที่อยู่เบื้องหลังให้ได้รับกรรมที่ก่อโดยเร็วด้วย ประเทศไทยมีพระสยามเทวาธิราชปกป้องดูแล ใครที่คิดร้ายประเทศมีจุดจบที่ไม่ดีแน่นอน ทั้งนี้การกระทำดังกล่าวทำให้ภาพลักษณ์ประเทศเสียหาย เป็นการกระทำในช่วงการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้วย” รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าว


          ซัดเด็กเพื่อไทยเอาชีวิตคนมาล้อเล่น
          นายธนกร กล่าวต่อว่า ขอให้ประชาชนมีความชื่อมั่น รัฐบาลจะทำทุกอย่างเพื่อให้ประเทศสงบ ปลอดภัย และเชื่อว่าอีกไม่นานเจ้าหน้าที่ตำรวจจะสามารถคลี่คลายคดีได้อย่างแน่นอน ที่สำคัญหากพี่น้องคนไทยมีความรักความสามัคคีกันก็จะไม่มีใครมาทำลายประเทศเราได้ นอกจากนี้รู้สึกหดหู่กับพฤติกรรมของส.ส.บางคน และนักการเมืองพรรคเพื่อไทยบางคนที่ขาดวุฒิภาวะ ขาดจิตสำนึก ไร้มนุษยธรรมต่อกรณีที่ออกมาแสดงคิดเห็นโดยเอาชีวิตประชาชนมาล้อเล่น มาเยาะเย้ย มาสะใจกับความเจ็บปวดของประชาชน ขอให้กลับตัวกลับใจเสียใหม่ ไม่เช่นจะไม่มีที่ยืนในสังคม


          ปชป.แนะตั้งศูนย์เฉพาะกิจแจงปชช.
          นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสถานการณ์ของบ้านเมืองในช่วงนี้ที่มีเหตุการณ์วางระเบิดในหลายจุดที่ผ่านมาว่า ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ อย่าพยายามพูดให้เป็นเรื่องของการเมืองทั้งหมด เพราะนี่คือเรื่องของประเทศที่ทุกคนต้องช่วยกันเพื่อปกป้องคุ้มครองประเทศไม่ให้ใครมาคิดร้ายต่อบ้านเมืองของเรา ต้องช่วยกันสอดส่องดูแล พร้อมส่งเสริมให้กำลังใจในการทำหน้าที่ของผู้ที่เกี่ยวข้อง หลายฝ่ายที่พยายามชี้นำว่าเกิดจากเรื่องนั้นเรื่องนี้คงไม่ใช่หลักการที่ถูกต้อง ควรปล่อยให้เป็นอำนาจหน้าที่ของผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายความมั่นคง ที่เชื่อว่าขณะนี้เร่งทำงานกันอย่างหนักทุกคน ก็ต้องให้กำลังใจ และยังเชื่อว่ารัฐบาลสามารถจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขอให้กำลังใจนายกรัฐมนตรีในการแก้ปัญหา
     

          โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่า แต่การสื่อสารของรัฐบาลต้องมีความชัดเจนและมีความเป็นหนึ่งเดียว เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ว่าเหตุการณ์ใดที่สำคัญรัฐบาลควรให้ฝ่ายโฆษกรัฐบาลเป็นหลักในการตั้งศูนย์บัญชาการสื่อสารเฉพาะกิจขึ้นในทันที โดยการรวบรวมข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นข้อมูลจากฝ่ายตำรวจ ฝ่ายทหาร ฝ่ายปกครอง รวมถึงกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อประมวลผลให้การสื่อสารข้อมูลถึงประชาชนถูกต้องแม่นยำ ข่าวเท็จต่างๆ ที่พยายามทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาล หากไม่มีการสื่อสารที่รวดเร็วและแม่นยำ ประชาชนจะเกิดความสับสนและวิตกกังวลได้ ส่วนมาตรการป้องกันในวันข้างหน้า เจ้าหน้าที่ตำรวจจำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการป้องกัน เพราะการรักษาความสงบเรียบร้อยถือเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องเป็นหลัก ซึ่งการที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เข้ามาดูตำรวจด้วยก็เชื่อว่าจะทำให้มีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น


          หญิงหน่อยจี้รัฐบาลแก้ความมั่นคง
          คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงเหตุการณ์ระเบิดที่เกิดขึ้นในพื้นที่กทม. ว่าพรรคเพื่อไทยห่วงใยต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งตามที่มีข่าวว่าผู้ต้องสงสัยที่ถูกจับกุมตัวได้ ได้บอกถึงเหตุจูงใจในการก่อเหตุว่าเกิดจากความไม่พอใจต่อกรณีการจัดการปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ เพราะมีผู้ต้องสงสัยบาดเจ็บและเสียชีวิตในค่ายทหารนั้น ในเรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ควรจะจัดการปัญหาความ

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ