ข่าว

ยกฟ้อง"อดีต ผกก.ป.- อัจฉริยะ"คดีฉ้อโกง

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ยกฟ้อง"อดีต ผกก.ป.- อัจฉริยะ ปธ.ชมรมเหยื่ออาชญากรรม"กับผู้เสียหายคดีฉ้อโกง ไม่ผิดร่วมสนับสนุนปฏิบัติหน้าที่มิชอบ สั่งอายัด-ถอนเงินบัญชีเจ้าของร้านมือถือ

 

 

 

                   27 มีนาคม 2562  ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรี  ศาลนัดอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อท.(ผ) 23/2559 ที่ "น.ส.รัฏฏิการ์ ชลวิริยะบุญ" เจ้าของร้านจำหน่ายโทรศัพท์มือถือย่านมาบุญครอง  

 

 

                   เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง"พ.ต.อ.พงษ์ไสว แช่มลำเจียก" อดีต ผกก.สอบสวน บก.ป. , "พ.ต.ท.ชัยพร นิตยภัตร์"  สว.สอบสวน กก.1 บก.ป. , "พ.ต.อ.ณษ เศวตเลข" (จำเลยที่ 3 ยกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง) , "นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์" ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม , "นายณัฐพสิษฐ์ ชาญจรูญจิต" , "น.ส.วิภาณี ต๊ะมามูล" , "น.ส.ธนสร แก้วเทพ" เป็นจำเลยที่ 1-7 ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และร่วมกันสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

 

                   โดยโจทก์ฟ้องพฤติการณ์ สรุปว่า คน.ส.รัฏฏิการ์ โจทก์เป็นเจ้าของกิจการร้านรับซื้อขายแลกเปลี่ยนและซ่อมแซมอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ ย่านมาบุญครอง 2 แห่ง และมีร้านของสามีอีกแห่ง 

 

                   ขณะที่ จำเลยที่ 1-3 เป็นพนักงานสอบสวนสังกัด กก.1 บก.ป , จำเลยที่ 4 เป็นประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม , จำเลยที่ 5-7 เป็นผู้สั่งซื้อโทรศัพท์มือถือเพื่อนำไปขายต่อ โดยประมาณเดือน ก.ค.56 - ม.ค.57 น.ส.บุศรินทร์ ยื่อโหนด และนายมนัส โชติขัน มาซื้อโทรศัพท์ที่ร้านของโจทก์และร้านอื่นๆ ในย่านมาบุญครอง ในราคาท้องตลาดจำนวน 2,000 กว่าเครื่อง นำไปหลอกลวงผู้อื่นและได้หลอกลวงจำเลยที่ 5-7 ด้วยว่าจะขายในราคาต่ำกว่าทุน

 

                   โดยเมื่อหลอกลวงได้จำนวนมากแล้ว น.ส.บุศรินทร์ และนายมนัส ได้หลบหนีไป แต่ต่อมาก็ถูกจับ และถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุกไว้คนละ 20 ปี ภายหลังพนักงานสอบสวนได้ตรวจสอบบัญชีของน.ส.บุศรินทร์ และนายมนัส พบการโอนเงินเข้าบัญชีของโจทก์และผู้อื่นอีก 20 กว่าราย แต่เลือกบัญชีของโจทก์เพียงบัญชีเดียวว่าเป็นบัญชีที่รับโอนเงินที่ได้จากการฉ้อโกงประชาชน และแจ้งต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ให้อายัดเงินในบัญชี ธนาคารของโจทก์ รวม 5 บัญชี ซึ่งโจทก์ได้โต้แย้งคัดค้านแล้ว

 

                   กระทั่ง 24 เม.ย.58 ปปง. มีหนังสือถึงโจทก์ แจ้งมติคณะกรรมการธุรกรรม ปปง. เห็นชอบให้เลขาธิการ ปปง. ส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนกองปราบปราม ดำเนินการคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหาย และให้ดำเนินการกับทรัพย์สิน ตาม พ.ร.บ.การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 49 วรรคหก และ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 85

 

                   จากนั้นพนักงานสอบสวน ได้ส่งมอบพยานหลักฐานเกี่ยวกับทรัพย์สิน ให้จำเลยที่ 5-7 ไปแจ้งความดำเนินคดีโจทก์ ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน จึงถือว่าจำเลยได้ร่วมกันกระทำความผิด แจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อพนักงานสอบสวน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายกลั่นแกล้งโจทก์ให้ได้รับโทษ โดยกล่าวหาว่าโจทก์ ร่วมทำผิดกับ น.ส.บุศรินทร์และนายมนัส ซึ่งมีการโอนเงินที่ได้จากการฉ้อโกงประชาชนให้โจทก์ ทั้งที่ความจริงโจทก์ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการซื้อขายโทรศัพท์ระหว่างจำเลยที่ 5-7 กับ น.ส.บุศรินทร์และนายมนัส  

 

                   ส่วนเงินที่โอนมาเป็นเงินค่าโทรศัพท์ไม่ใช่เงินที่ได้จากการฉ้อโกงประชาชน กระทั่งเดือน ก.ย.58 - 8 ต.ค.58 จำเลยที่ 5 มีหนังสือถึง ผบก.ป. เร่งรัดให้ดำเนินการตามคำสั่งของคณะกรรมการธุรกรรม ปปง. โดยออกคำสั่งให้ธนาคารอายัดเงินในบัญชี 11,534,800.70 บาท และ 94,550.79 บาท ซึ่ง ผบก.ป.ให้จำเลยที่ 1-3 พิจารณาและออกคำสั่งไปยังธนาคาร ต่อมาวันที่ 8 ต.ค. 58 จำเลยที่ 1-3 นัดจำเลยที่ 4-5 มารับเงินทั้งสองจำนวนที่ธนาคาร

 

                   โดยจำเลยที่ 1-3 ให้ธนาคารถอนเงินในบัญชีของโจทก์นั้น มอบให้จำเลยที่ 5 ในเวลา 18.18 น. การกระทำของจำเลยที่ 1-3 เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ และเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ทั้งยังเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ให้ได้รับโทษหนักขึ้น ส่วนจำเลยที่ 4-7 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1-3 เพื่อเอาเงินของโจทก์ไปโดยมิชอบ จึงเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด

 

                   ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง "ศาล" พิจารณาหลักฐานแล้วมีคำสั่งให้ประทับรับฟ้อง จำเลยที่ 1- 2 ข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เฉพาะประเด็นจำนวนเงินที่คณะกรรมการ ปปง.มีมติให้คุ้มครองสิทธิผู้เสียหาย กรณีนำเงินที่ถอนจากบัญชีโจทก์ในส่วนที่เป็นการคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายและส่วนที่เกินอันเนื่องมาจากการแจ้งผิดหลงของคณะกรรมการ ปปง.มาแบ่งกัน และรับฟ้องจำเลยที่ 4-7 ในข้อหาสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต 

 

                   โดย "พ.ต.อ.ณษ เศวตเลข" จำเลยที่ 3 ให้ยกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง กับให้ยกฟ้องจำเลยที่ 5-7 ข้อหาแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเพื่อกลั่นแกล้งให้บุคคลอื่นต้องได้รับโทษทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 , 174 , 200

 

                   โดยในวันนี้จำเลย 1,2,4-7 เดินทางมาศาล พร้อมรับฟังคำพิพากษา ขณะที่ฝ่ายโจทก์ มีเพียงทนายรับมอบอำนาจ มาร่วมฟังคำตัดสิน

 

                   ทั้งนี้ "ศาล" พิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์แล้ว เห็นว่า ในขั้นตอนการเบิกเงินคุ้มครองสิทธิ จำเลยที่ 1-2 ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามขอบเขตและระเบียบที่กฎหมายได้กำหนดไว้โดยมีหลักฐานเป็นเอกสารการปรึกษาขั้นตอนการเบิกจ่ายเงินคุ้มครองดังกล่าวต่อคณะกรรมการ ปปง. และเอกสารตอบโต้กับธนาคารซึ่งมีการดำเนินงานโดยเปิดเผย 

 

                   ส่วนประเด็นที่มีการกล่าวหาว่า จำเลยที่ 1-2 รับส่วนแบ่งเงินคุ้มครองสิทธิจากจำเลยที่ 5-6 ที่เป็นผู้เสียหายในคดีฉัอโกงฯ ที่มีการฟ้องโจทก์ ที่โจทก์กล่าวอ้างเทปบันทึกเสียงโทรศัพท์เเละข้อความในไลน์กับจำเลยที่ 6 เรื่องการกันเงินไว้ใช้เองนั้น "ศาล" เห็นว่า พยานโจทก์ดังกล่าวไม่ใช่ผู้ที่รับรู้เหตุการณ์โดยตรง หรือประจักษ์พยาน ถือเป็นเพียงพยานบอกเล่า อีกทั้งเทปบันทึกเเละข้อความในไลน์ที่กล่าวอ้างเป็นพยานก็ไม่ได้มีการตรวจสอบและเซ็นรับรองจากผู้เชี่ยวชาญทางนิติวิทยาศาสตร์ จึงไม่ใช่พยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1-2 กระทำผิดตามฟ้อง และเมื่อฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1-2 มีความผิดตามวินิจฉัย จำเลยที่ 4-7 จึงไม่อาจมีความผิดในฐานสนับสนุนได้ โดยไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยในประเด็นอื่น จึงพิพากษายกฟ้อง 

 

                   ภายหลัง "นายอัจฉริยะ" ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม จำเลยที่ศาลยกฟ้อง เปิดเผยว่า เราต่อสู้คดีนี้มาตั้งแต่ปี 2558  มาวันนี้ศาลได้พิพากษายกฟ้อง เราจึงเป็นผู้บริสุทธิ์ ตนขอขอบคุณศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ที่ให้ความเป็นธรรมกับพวกเรา ซึ่งเรายืนยันมาตลอดว่าไม่มีพฤติการณ์กระทำผิด และไม่ได้เอาเงินที่เบิกเกินมาแบ่งกัน เพราะตอนที่เบิกเงินเป็นการทำตามมติของคณะกรรมการธุรกรรมของปปง.ที่มีหนังสือแจ้งคุ้มครองสิทธิ์ของผู้เสียหาย 2 บัญชี ตำรวจ บก.ป.ก็ทำตามขั้นตอนตามกฎหมาย และมีการหารือระหว่าง บก.ป. , ธนาคาร กับ ปปง.โดยวันที่ไปรับเช็ค ก็เป็นผู้เสียหายไปรับ

 

 

 

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ