คุมเซลขายรถยนต์สอบเครียด พันคดีซิ่งรถทับเหยื่อ

 

          เมื่อเวลา 02.20 น. วันที่ 10 ม.ค.2562 ร.ต.ท.เมธัส ปัทมังสังข์ รอง สว.(สอบสวน) สน.สายไหม รับแจ้งเหตุมีรถยนต์ไล่ชนรถจยย. จนเป็นเหตุทำให้มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บสาหัส เหตุเกิดบริเวณหน้า รพ.ภูมิพลฯ ถนนพหลโยธิน แขวงคลองถนน เขตสายไหม กทม. หลังรับแจ้งจึงเดินทางไปตรวจสอบยังที่เกิดเหตุ พร้อมด้วย พ.ต.ท.ประพจน์ อนุศิริ รอง ผกก.สส.สน.สายไหม , พ.ต.ท.อำนาจ กาหลง รองผกก.ป.สน.สายไหม เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนและสายตรวจสน.สายไหม เจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู

 

          ที่เกิดเหตุเป็นถนน 2 เลน บริเวณหน้า รพ.ภูมิพลฯ ฝั่งมุงหน้าวงเวียนบางเขน เลนขวาพบ รถจยย. ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเอ็มเอสเอ๊กซ์ สีแดง หมายเลขทะเบียน 6กต 1827 กรุงทพมหานคร สภาพล้มคว่ำอยู่ ใกล้กันพบรถยนต์นั่งสาธารณะ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นแอลติส สีชมพู ป้ายทะเบียนเหลือง ทห-8390 กรุงเทพมหานคร บริเวณเลนซ้ายพบรถยนต์นั่งส่วนบุคคลยี่ห้อมิตซูบิชิ รุ่นไททัน สีขาว หมายเลขทะเบียน 6กฆ-1730 กรุงเทพมหานคร สภาพด้านหน้ารถพังเสียหาย บริเวณด้านหน้ารถพบศพนายไชยวัฒน์ สังข์เผือก อายุ 20 ปี สภาพศรีษะติดอยู่กับหน้าตัวรถ ห่างออกไป 100 เมตรกลางถนนพบร่างนายศิวะ สิงหภูกาม อายุ 22 ปี นอนหายใจรวยริน เจ้าหน้าที่ต้องเร่งนำตัวส่ง รพ.ภูมิพล นอกจากนี้ยังพบแผ่นป้ายทะเบียนรถ หมายเลข 7กณ-4457 กรุงเทพมหานคร ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน

 

 

          จากการสอบสวนนางสุจิตตรา สิงหภูกาม อายุ 45 ปี แม่ของนายไชยวัฒน์ กล่าวว่า ลูกชายของตนและนายศิวะ เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน และจะไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ วันเกิดเหตุตนได้คุยกับลูกชายครั้งสุดท้ายเมื่อเวลาประมาณ 23.30 น.- 00.00 น. โดยลูกชายได้ออกไปกดเงินมาให้ตน 300 บาท เพื่อเป็นเงินค่าไปโรงเรียนหลาน หลังจากกดเงินให้แล้ว ทั้ง 2 คนก็ขับขี่รถจยย. คันดังกล่าวออกไปข้างนอก โดยไม่บอกว่าไปไหน ก่อนจะมาทราบจากเจ้าหน้าที่ตำรจวว่า ลูกชายประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ซึ่งปกติลูกชายจะขายของอะไหล่แต่ง รถจยย. ที่ตลาดพูนทรัพย์ ส่วนนายศิวะเป็นทหารเกณฑ์ และทั้ง 2 คนไม่เคยมีเรื่องทะเลาะอะไรกับใครมาก่อน

 

          ทางด้าน ร.ต.ท.เมธัส เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้สอบปากคำ นายสุจิตร หมื่นศรี อายุ 37 ปี ผู้ขับขี่รถยนต์มิตซูบิชิ ซึ่งได้กล่าวว่า ขณะเกิดเหตุได้พบรถจยย. ของผู้ตายทั้ง 2 คน ขับรถย้อนศรมา โดยมีรถยนต์สีดำขับตามมาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่รถจยย.จะโดนชนท้าย ทำให้คนขับและคนซ้อนกระเด็นตกจากรถ จยย. และถูกรถที่วิ่งสวนมาชนซ้ำ ก่อนที่คนนั่งโดยสารมากับรถยนต์ ได้ลงมาทำร้ายร่างกายผู้บาดเจ็บทั้งสอง แล้วขับรถหลบหนีไป ซึ่งหลังจากนี้จะนำทะเบียนรถที่ตกอยู่ในจุดเกิดเหตุไปตรวจสอบว่า ใครเป็นเจ้าของรถ เพื่อจะทำการเรียกมาสอบสวนเพิ่มเติมต่อไป

 

          ต่อมาเวลา 11.00 น. เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนได้เชิญตัวนายชนินทร์ สุดนิมิตร อายุ 25 ปี เจ้าของป้ายทะเบียนรถยนต์ที่ตกอยู่ในจุดเกิดเหตุ มาทำการสอบสวนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งนำรถยนต์นั่งส่วนบุคคลยี่ห้อมาสด้า รุ่นมาสด้า 2 สีเทา-ดำ หมายเลขทะเบียน 7กณ 4457 กรุงเทพมหานคร มาให้เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน(พฐ.) ตรวจสอบด้วย

 

          นายชนินทร์ กล่าวว่า ตนเป็นพนักงานขายรถยนต์ย่านร่มเกล้า วันเกิดเหตุตนกำลังขับรถออกจากบ้านเพื่อนย่านวัชรพล เพื่อกลับบ้านย่านปทุมธานี เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุตนกำลังเบี่ยงเลนมาตามแท่นแบร์ริเออร์ ที่เจ้าหน้าที่กั้นไว้ เพื่อทำทางรถไฟฟ้าระหว่างเลี้ยวรถยนต์ได้มี รถจยย. ขับตามมาด้านหลังจนเกิดเหตุเฉี่ยวชน และรถจยย.ได้กระเด็นไปโดนรถยนต์ที่วิ่งสวนเลนมาทับ ก่อนที่ตนจะเห็นว่ามีคนขับรถจยย. อีกประมาณ 2 คันขับตามมา โดยหนึ่งในนั้นได้ลงมาแย่งของที่ผู้ตาย และทำร้ายร่างกายซ้ำ ก่อนจะขับรถหลบหนีไป ตนเห็นว่ามีวัยรุ่นขับตามมา กลัวว่าจะถูกทำร้ายร่างกาย จึงตัดสินใจขับรถหลบหนีไป

 

          ด้าน พ.ต.ท.ธนู สุขเสริม รองผกก.(สอบสวน)สน.สายไหม กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้แจ้งข้อหากับผู้ใดโดยอยู่ระหว่างการสอบสวน และรอผลตรวจพิสูจน์จากนิติเวช ขณะนี้ได้ให้ฝ่ายสืบสวนตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณที่เกิดเหตุ เพื่อนำมาประกอบสำนวนคดี เพื่อจะแจ้งข้อหาแก่ผู้กระทำผิด ยืนยันว่าตอนนี้ไม่มีเรื่องเกี่ยวข้องกับยาเสพติด แค่เป็นเรื่องเกี่ยวกับอุบัติเหตุรถชนเท่านั้น แต่อาจจะเป็นอุบัติเหตุที่ไม่ธรรมดา

 

          รายงานข่าวแจ้งว่า จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบว่า รถยนต์มาสด้าสีดำ ได้ขับไล่รถจยย.ของผู้ตายมาตั้งแต่ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซีสะพานใหม่ โดยรถยนต์คันดังกล่าวได้ขับขี่ชนแท่งแบริเออร์ ก่อนจะขับรถย้อนศรไล่รถจยย. มาตลอดเส้นทางถนนพหลโยธิน ก่อนจะชนรถจยย. และมีชาย 1 คน ลงมาจากรถยนต์และเข้าไปทำร้ายร่างกาย ก่อนจะกลับขึ้นรถยนต์หลบหนีไป ซึ่งจากการสืบสวนทราบว่า ผู้ที่เป็นคนทำร้ายร่างกายชื่อนายเบียร์ (ไม่ทราบชื่อและนามสกุลจริง) อายุ 22 ปี ขณะนี้อยู่ระหว่างติดตามตัวมาดำเนินคดี.