รวบหนุ่มสร้างเรื่องโกหก ขอความช่วยเหลือสื่อออนไลน์

 

          ตามนโยบายของรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดบนสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่ละเมิดกฎหมายและเป็นภัยต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของสังคม ความผิดที่เกี่ยวกับการค้ามนุษย์ ตลอดถึงความผิดในทุกรูปแบบที่มีโทษทางอาญา ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง ผบก.ตม.3, พล.ต.ต.พนัญชัย ชื่นใจธรรม ผบก.สส.สตม. และ พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ ผบก.จร. จึงได้สั่งการให้ ชุดปฏิบัติการที่ 26 ศปอส.ตร. ร่วมกับ สภ.กระทุ่มแบน จว.สมุทรสาคร ออกสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดในคดีนี้

 

          คดีนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2561 มีการเผยแพร่ข่าวจากสำนักข่าวออนไลน์แห่งหนึ่งว่า มีผู้ได้รับความเดือดร้อนร้องเรียนให้ข้อมูลกับสำนักข่าวว่า ภรรยาของผู้ร้องซึ่งสมัครใจไปทำงานที่ประเทศเกาหลีใต้ ปรากฏว่าถูกบังคับให้ขายตัวได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก ต้องการความช่วยเหลือและเดินทางกลับประเทศไทยเป็นการเร่งด่วน

 

 

          เมื่อ ศปอส.ตร.ได้ทราบเรื่องดังกล่าว จึงได้ประสานไปยังสำนักข่าวออนไลน์ดังกล่าวเพื่อขอข้อมูลและช่องทางการติดต่อกับผู้ร้องเพื่อให้การช่วยเหลือในทันที และได้ประสานงานไปยังประเทศเกาหลีใต้ โดยภายในวันเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจเกาหลีใต้สามารถติดตามพบตัวภรรยาของผู้ร้องและประสานให้เดินทางกลับมาประเทศไทยในทันที ในขณะเดียวกัน ในวันที่ 8 ตุลาคม 2561 ชุดปฏิบัติการที่ 26 ศปอส.ตร.และ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.กระทุ่มแบน จว.สมุทรสาคร ได้ร่วมกันทำการปิดล้อมตรวจค้นอาคารพาณิชย์ในเขต อ.กระทุ่มแบน จว.สมุทรสาคร ซึ่งสืบทราบว่าเป็นสถานที่ให้การโฆษณาในเฟซบุ๊กว่าสามารถพาคนไปทำงานเป็นหมอนวดแผนโบราณในประเทศเกาหลีใต้ได้ ผลการตรวจค้นพบว่าสถานประกอบการดังกล่าว ไม่มีผู้ที่มีใบอนุญาตจัดหางานแต่อย่างใด จึงได้ทำการจับกุมตัว น.ส.พรธิชา มูลมั่ง อายุ 20 ปี ที่อยู่ 3 ม.2 ต.ไร่น้อย อ.เมือง จว.อุบลราชธานี และได้ออกหมายจับผู้ต้องหาเกี่ยวกับในคดี ดังนี้

     

 

          1.น.ส.จิดาภา หรือเมย์ กาญจนะโยธา อายุ 31ปี ที่อยู่ 16ม.8 ต.สะดอน อ.สอยดาว จว.จันทบุรี 2.น.ส.ปาลิดา หรือแอน โนนิล อายุ 38 ปี ที่อยู่ 65 ม.10 ต.บ้านเอื้อม อ.เมือง จว.ลำปาง 3.น.ส.ปราณี บุตรดาวงษ์ อายุ 35 ปี ที่อยู่ 52 ม.16 ต.หนองเชียง อ.ปรางค์กู่ จว.ศรีสะเกษ 4.น.ส.ชนิดา จันทะบัณฑิต อายุ 31 ปี ที่อยู่ 50ม.10 ต.บ้านเอื้อม อ.เมือง จว.ลำปาง รวมผู้ต้องหา 5 คน ในข้อหาร่วมกันจัดหางานให้คนหางาน เพื่อไปทำงานในต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต อัตราโทษจําคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ  

 

          ต่อมาเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2561 นางเอฯ (นามสมมติ) ซึ่งถูกอ้างว่าเป็นภรรยาของผู้ร้อง (นายนาวิน สลาประโคน) ได้เดินทางกลับมาถึงประเทศไทยด้วยความปลอดภัย และให้การกับชุดทำงานที่ให้การช่วยเหลือว่า ตนเองไม่ได้เป็นภรรยาของนายนาวินแต่อย่างใด โดยเคยคบหากันชั่วคราวและเลิกรากันแล้ว เนื่องจากทราบว่านายนาวิน มีภรรยาอยู่แล้ว และมาหลอกลวงเพื่อต้องการเงินของนางเอ นางเอจึงหนีไปทำงานยังประเทศเกาหลีใต้ และไม่ได้ถูกบังคับให้ขายตัวแต่อย่างใด เมื่อนายนาวินทราบว่าตนไปทำงานที่ประเทศเกาหลีใต้ ก็ยังไม่ยอมเลิกราด้วยจึงได้โทรข่มขู่ และสร้างเรื่องโกหกเพื่อประจานให้ตนเองได้รับความเสียหาย และต้องการให้ตนกลับประเทศไทย แต่นางเอ ต้องการทำงานต่อจึงไม่เดินทางกลับ นายนาวินจึงสร้างเรื่องโกหก และแจ้งขอความช่วยเหลือไปยังสื่อออนไลน์ดังกล่าว ส่วนตนเองเมื่อตำรวจเกาหลีใต้มาติดต่อที่ร้านอาหารที่ตนทำงานและแจ้งเรื่องราวดังกล่าวให้ทราบ เจ้าของร้านชาวเกาหลีใต้จึงเลิกจ้าง เนื่องจากทำให้ร้านเสียชื่อเสียง เป็นเหตุให้ตนต้องเดินทางกลับประเทศไทย และประสงค์จะดำเนินคดีกับนายนาวินที่ทำให้ตนเองเสียชื่อเสียงซึ่งจะได้แจ้งความดำเนินคดีต่อไป

 

          ในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการจึงได้ออกหมายจับนาวินในข้อหา นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายกับผู้อื่นหรือประชาชน อัตราโทษ จำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

          ต่อมาวันที่ 12 ธันวาคม 2561 นายนาวินผู้ต้องหาได้เดินทางกลับมาจากประเทศเกาหลีใต้ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้ทำการจับกุมตัว นายนาวิน สลาประโคน อายุ 27 ปี ที่อยู่ 230 ม.1 ต.ประโคนชัย อ.ประโคนชัย จว.บุรีรัมย์ ตามหมายจับศาลจังหวัดสมุทรสาครที่ จ.373/2561 ลงวันที่ 18 ตุลาคม 2561 ในข้อหา นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายกับผู้อื่นหรือประชาชนฯ ส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสมุทรสาคร เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป.