ข่าว

รวบผู้ต้องหาคดีค้ามนุษย์ข้ามชาติ หลอกทำงานตปท.

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ปคม.รวบผู้ต้องหาคดีค้ามนุษย์ข้ามชาติ หลอกทำงานตปท.-บางรายตั้งกลุ่มในไลน์ใช้สื่อสารระหว่างลูกค้า-เด็กในสังกัด ขณะที่เด็กสมัครใจขายบริการหาเงินซื้อสินค้าแบรนด์เนม

 

          ที่ห้องประชุม 1 บก.ปคม. ชั้น 4 ศูนย์ราชการอาคารบี เมื่อเวลา 17.00 น.วันที่ 9 พฤศจิกายน พ.อ.อ.มานะ กลีบสัตยุศย์ รอง พร้อมด้วย พ.ต.อ.คธา เกสรมาลา รอง ผบก.ปคม. พ.ต.อ.อนันต์ นานาสมบัติ รอง ผบก.ปคม. พ.ต.อ.อัครเดช เกตุเอี่ยม ผกก.2 บก.ปคม. พ.ต.อ.จิรัฏฐ์ จึงภัทรนิษฐ์ ผกก.3 บก.ปคม. พ.ต.อ.วัชรพงษ์ ฉายวัฒนะ ผกก.4 บก.ปคม. และพ.ต.อ.เอกณรงค์ เทศวิบูลย์ ผกก.6 บก.ปคม. ร่วมกันแถลงผลการจับกุมผู้ต้องหา คดีเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ ข้ามชาติ โดยมีการหลอกลวงให้ไปทำงานต่างประเทศผ่านโซเชียลต่างๆ จำนวน 4 คดี

 

          ต่อมา วันที่ 4 ก.ย.60 ผู้เสียหายขึ้นเครื่องจากสนามบินสุวรรณภูมิไปถึงประเทศบาห์เรน มี น.ส.ไอชลิยา ชัยบุญจันทร์ อายุ 50 ปี เดินทางมารับพร้อมยึดพาสปอร์ต เงินสด และโทรศัพท์ ก่อนพาตัวมาพักที่โรงแรมและบังคับให้ค้าประเวณี แต่ผู้เสียหายไม่ยอม จึงถูกส่งตัวให้ น.ส.ศิริลักษณ์ กะเชียง อายุ 35 ปี เป็นแม่เล้าอีกโรงแรมหนึ่ง แต่ผู้เสียหายก็ไม่ยอมค้าประเวณี ทำให้ถูกเอาตัวไปขายต่อให้แม่เล้า ชื่อ น.ส.อัครสมนต์ มณีโรจน์ อายุ 27 ปี จนกระทั่ง ผู้เสียหายแอบใช้โทรศัพท์ติดต่อมาหาญาติที่ประเทศไทย เพื่อให้ประสานกับสถานเอกอัครทูต ณ กรุงมานามา ประเทศบาห์เรน เข้าช่วยเหลือนำตัวส่งกลับมายังประเทศไทย และประสานงานมายัง บก.ปคม. และกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เพื่อแจ้งความร้องทุกข์ เมื่อวันที่ 30 ก.ย.60

 

          พ.ต.อ.มานะ เผยอีกว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้รวบรวมพยานหลักฐานติดตามจับกุมผู้ต้องหาร่วมขบวนการได้แล้ว 3 ราย คือ 1.น.ส.ฟาริดา เมื่อวันที่ 4 พ.ย.60 ที่จ.ชลบุรี 2.นายประเสริฐ เมื่อวันที่ 8 พ.ย.60 ที่ จ.ชลบุรี และ 3.น.ส.ไอชลิยา เมื่อวันที่ 7 พ.ย.61 หลังเดินทางเข้ามาต่อวีซ่าในประเทศไทย โดยแจ้งข้อหา “สมคบโดยตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ , เป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไปซึ่งบุคคลใดเพื่อให้บุคคลนั้น กระทำการค้าประเวณี , ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย , ร่วมกันเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม และ มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ” ส่วน น.ส.ศิริลักษณ์ และ น.ส.อัครสมนต์ อยู่ระหว่างดำเนินการติดตามจับกุมต่อไป

 

คดีที่สอง พ.ต.อ.มานะ กล่าวว่า เป็นการจับกุมนส.รัตนาวดี นามเสถียร อายุ 19 ปี ชาวจังหวัดสุรินทร์ แม่เล้าเป็นธุระจัดหาเด็กหญิงอายุไม่เกิน 18 ปี ประกาศขายบริการทางเพศให้กับนักท่องเที่ยวในจังหวัดสุรินทร์ ผ่านทางแอพพลิเคชั่น LINE โดยมีสมาชิกในกลุ่ม LINE กว่า 1000 คนในจำนวนนี้มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เป็นสมาชิกอยู่ในกลุ่ม LINE นี้ด้วย ถึง 2 คน โดยการจับกุมครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากเจ้าหน้าที่จากมูลนิธิเอกชนแห่งหนึ่งซึ่งไม่ประสงค์จะออกนามได้รับแจ้งว่ามีหญิงสาววัย 19 ปีตั้งกลุ่ม LINE “ ใหม่มี่ “ เพื่อขายบริการทางเพศ และยังมีเด็กหญิงอายุไม่เกิน 18 ปีในสังกัดหลายคน เจ้าหน้าที่พม.จังหวัดสุรินทร์ ร่วมตำรวจปคม. ทำการล่อซื้อ ก่อนแสดงตัวเข้าจับกุม

 

          พ.ต.อ.มานะ กล่าวอีกว่า จากการสอบสวนแม่เล้าวัย 19 ปี รับสารภาพว่า ได้ตั้งกลุ่ม LINE นี้ขึ้นมาเพื่อเป็นช่องทางในการสื่อสาร ระหว่างลูกค้ากับเด็กในสังกัด โดยการขายบริการแต่ละครั้งตนจะเรัยกเก็บค่าน้ำมันรถจากการรับส่งเด็กและได้ค่านายหน้าอึก 500 บาท ส่วนเด็กได้ 1500 บาท และเด็กทุกคนสมัครใจขายบริการ ไม่ได้มีการบังคับแต่อย่างใด ส่วนสาเหตุที่ขายบริการเนื่องจากต้องการเงินไปซื้อสินค้าแบรนด์เนม หลังจากนี้จะทำการขยายผลผู้ร่วมขบวนการ และหากพบว่ามีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เป็นสมาชิกกลุ่ม LINE นี้ ก่อนดำเนินคดีตามกฎหมายด้วย

 

รวบผู้ต้องหาคดีค้ามนุษย์ข้ามชาติ หลอกทำงานตปท.

 

          คดีที่สาม สื่บเนื่องจากเมื่อวันที่ 28 ส.ค. น.ส.นก (นามสมมุติ ) อายุ 32 ปี ชาวนครสวรรค์ เข้าร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ปคม. หลังถูกน.ส.วาริน ขันคำ อายุ ปี น.ส.ธัญญรัตน์ อายุ ปี น.ส.รัตติกาล วิริยะ และชายชาวเกาหลีใต้ อีก 3 คน หลอกไปทำงานนวดที่เกาหลีใต้ และบังคับทำสัญญารับสภาพหนี้ อีกทั้งบังคับให้ค้าประเวณี โดยติดต่อผ่านเฟสบุ๊กของน.ส.รัตติกาล ที่ลงโฆษณาหาสาวไทยไปทำงานยังประเทศเกาหลีใต้ โดยอ้างว่าจะมีรายได้ 4 หมื่นบาทต่อเดือน ค่าคอมมิชชั่นอีก 10 เปอร์เซ็นต์ จากนั้นน.ส.รัตติกาล ได้พาผู้เสียหายไปพบกับน.ส.วาริน และน.ส.ธัญญรัตน์ ซึ่งเป็นคนเดินเรื่องให้ไปทำงาน และทำสัญญากู้ยืมเงินให้กับผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายเดินทางก็จะมีชายชาวเกาหลีใต้มารับ ก่อนจะบังคับให้ค้าประเวณี

 

          ต่อมาเมื่อวันที่ 22 ต.ค. พนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับน.ส.วาริน ขันคำ อายุ 34 ปี น.ส.ธัญญรัตน์ อายุ 28 ปี และน.ส.รัตติกาล วิริยะ อายุ 31 ปี ต่อศาลอาญา ออกหมายจับศาลอาญา ที่2361/2561 , 22562/2561 และ 2563/2561 ลงวันที่ 22 ตุลาคม 2561 ตามลำดับ ในข้อหา ร่วมกันค้ามนุษย์ด้วยการแสวงหาประโยชน์ โดยมิชอบจากการค้าประเวณี โดยเป็นธุระจัดหา พามาจากหรือส่งไปยังที่ใด , สมคบโดยตกลงกันตั้งแต่ส่งขึ้นไปด้วยการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการค้าประเวณี , ร่วมกันตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป ด้วยการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการค้าประเวณี หน่วงเหนี่ยวกักขัง จัดให้อยู่อาศัยหรือรับไว้ซึ่งบุคคลใด โดยข่มขู่ ใช้กำลังบังคับ ฉ้อฉล หลอกลวง ใช้อำนาจโดยมิชอบ รวม 3 ข้อหา ต่อมาสามารถจับกุมน.ส.รัติกาล ได้เมื่อวันที่ 25 ต.ค. และจับกุมตัวน.ส.วาริน ได้เมื่อวันที่ 26 ต.ค. ซึ่งอยู่ระหว่างการติดตามตัวน.ส.ธัญญรัตน์ ที่ยังหลบหนีอยู่อีก 1 คน ซึ่งพบว่าหลบหนีไปยังฮ่องกงแล้ว ส่วนผู้ร่วมขบวนการชาวเกาหลีใต้ นั้นได้ประสานข้อมูลกับรัฐบาลเกาหลีใต้ดำเนินการต่อไป

 

          คดีที่สี่  พ.ต.อ.มานะ กล่าวว่า เป็นคดีที่สำคัญที่น่าสนใจคือการมีกลุ่มผู้กระทำผิดที่มีพฤติการณ์การสมคบกันและร่วมกันกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์โดยมีการแบ่งหน้าที่กันทำ โดยน.ส.พนัชกร บาฬิศรี มีหน้าที่ชักชวนหญิงไทยไปทำงานที่ร้าน Ever Delight ซึ่งประกอบกิจการนวดบังหน้าแต่แอบแฝงการค้าบริการอยู่เบื้องหลังที่ประเทศมาเลเชีย โดยมีนายอัลเบิร์ต ลิงค์ ชาวมาเลเซียเป็นเจ้าของร้าน และมีภรรยาเป็นคนไทยทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลโดยน.ส.พนัชกร ได้ตกลงกับน.ส.ธัญญา บุญบ้านดง อายุ 26 ปี หรือน้องเปิ้ล ผู้เสียหายและพวกว่าจะให้ไปทำงานนวดที่ประเทศเกาหลีใต้ แต่พอถึงเวลาเดินทางในวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้มีการเปลี่ยนที่หมายเป็นประเทศมาเลเซียโดยอ้างว่าเป็นการต่อเครื่องเข้าประเทศเกาหลี แต่เมื่อผู้เสียหายเดินทางไปประเทศมาเลเซีย ได้ถูกส่งต่อไปที่ร้านดังกล่าว ซึ่งเจ้าของร้านได้แจ้งว่าต้องทำงานชดใช้หนี้ค่าเดินทางจำนวน 22 รอบ จากนั้นผู้เสียหายถูกยึดหนังสือเดินทาง ทั้งนี้น้องเปิ้ลได้ถูกบังคับขายบริการโดยไม่สมัครใจ จึงได้ขอความช่วยเหลือมายังเพจอีจัน เมื่อวันที่ 27 เม.ย. ทางกก.6 ปคม. จึงได้ประสานกระทรวงต่างประเทศไปยังตำรวจมาเลเซียเข้าทำการช่วยเหลือน้องเปิ้ลพร้อมหญิงไทยอีก 2 รายที่ร้านดังกล่าวในวันเดียวกัน ภายหลังจากที่ได้รับความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเลเซียได้คุ้มครองน้องเปิ้ลและผู้เสียหายไว้ที่บ้านพักฉุกเฉินในรัฐซาบา ประเทศมาเลเซียแต่น้องเปิ้ลได้เสียชีวิตจากการผูกคอตนเองกับเตียงนอน เนื่องจากทุกข์ทรมานใจ ด้านน.ส.จันดี บุญบ้านดง มารดาของน้องเปิ้ล จึงเข้ามาร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนนั้นเพื่อให้ดำเนินคดีกับน.ส.พนัชกรตามกฎหมายให้ถึงที่สุด

 

          เบื้องต้นพนักงานสอบสวน กก.6 ปคม.ได้ดำเนินคดีกับน.ส.พนัชกร กับพวกในความผิดฐานสมคบโดยตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์และได้ลงมือกระทำผิดตามที่ได้สมคบกันโดยร่วมกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปร่วมกันเป็นธุระจัดหาฯ ซึ่งมีอัตราโทษสูงสุดจำคุกตั้งแต่ 4-20 ปี

 

          พ.ต.อ.มานะ กล่าวว่า ในคดีที่แถลงมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่าเกี่ยวข้องกับสื่อสังคมออนไลน์ทั้งสิ้น และเป็นเรื่องการหลอกไปทำงานต่างประเทศแบบผิดกฎหมาย เมื่อเกิดเหตุต่างประเทศทางการไทยจะช่วยเหลืออย่างรวดเร็วได้ลำบาก แต่ภายหลังทางรัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการแก่ไขปัญหาแรงงงาน รวมถึงปัญหาค้ามนุษย์ จึงได้มีบูรณาการจากหน่วยงานต่างๆ อาทิ ตำรวจสอบสวนกลาง คณะทำงานปราบปรามอาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ต(TICAC) กระทรวงแรงงาน กระทรวงต่างประเทศ ตำรวจสากล ทำให้การดำเนินคดี ติดตามจับกุมคนร้ายมีประสิทธิภาพมากขึ้น อยากฝากเตือนแรงงานคนไทยที่คิดจะไปทำงานต่างถื่นให้ตรวจสอบรายละเอียดให้ดีแนะนำให้ติดต่อผ่านทางกระทรวงแรงงาน ทั้งนี้หากพบปัญหาหรือสิ่งผิดปกติสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ 1546 กรมคุ้ครองแรงงาน หรือ ติดต่อที่ 1191 สายด่วน ปคม.

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ