"พล.ต.ต.สุรเชษฐ์"โชว์ผลงานจับ 4 ชาวจีนฉ้อโกงหลอกเหยื่อระดมลงทุนเสียหายกว่า 2 หมื่นล้านบาท อีกคดีจับหนุ่มเกาหลีใต้ทำร้ายร่างกาย-ข่มขืน 7ครั้ง ย้ำต้องทำงานเชิงรุก
ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(สตม.) สวนพลู เมื่อเวลา 14.30 น.วันที่ 1 ตุลาคม 2561 พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.กฤษกร พลีธัญญวงศ์ รอง ผบช.สตม. ,พล.ต.ต.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย รอง ผบช.สตม. ,พล.ต.ต.พฤทธิพงษ์ ประยูรศิริ ผบก.ตม2 ,พ.ต.อ.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รรท.ผบก.สส.สตม. ,พ.ต.อ.อาชยน ไกรทอง รรท.ผบก.ตม.3 ,พ.ต.อ.นิธิธร จินตกานนท์ รรท.ผบก.จร. ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมชาวจีน 4 ราย ประกอบไปด้วย นายกู่ เทียนหลง (MR.GU TIANLONG) อายุ 33 ปี ,นายหวัง เจียนจุน (MR.WANG JIANJUN) อายุ 43 ปี ,น.ส.ชู หลิงเม่ย (MS.QIU LINGMEI) อายุ 39 ปี และ นายหนอง ไข่หมิง (MR.NONG KAIMING) อายุ 42 ปี ทั้งหมดสัญชาติจีน ผู้ต้องหาร่วมกันกระทำความผิดในข้อหาฉ้อโกง มูลค่าความเสียหายรวม 5,470 ล้านหยวน (ประมาณ 27,350 ล้านบาท)
การจับกุมขบวนการนี้สืบเนื่องจากทางสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ประสานข้อมูลผ่านทางสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย ให้ทางการไทยเร่งติดตามผู้ต้องหาขบวนการนี้หลังสืบทราบว่าได้มีการหลบหนีการกระทำความผิดเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งพฤติกรรมของผู้ต้องหากลุ่มนี้ โดยในรายของนายกู่ เทียนหลง จะเปิดบริษัทเงินทุน Gaiwang Financial Services Ltd. นายหวัง เจียนจุน จะเปิดบริษัทเงินทุน Baiyimao Financial Services Ltd. น.ส.ชู หลิงเม่ย จะเปิดบริษัทเงินทุน Baiyimao Financial Services Ltd.และนายหนอง ไข่หมิง จะเปิดบริษัทเงินทุน NanhaiZhiheng Import and export trading company ซึ่งทั้งหมดหลอกเหยื่อร่วมระดมทุนทางการเงิน มีประชาชนชาวจีนเข้ามาร่วมลงทุนจำนวนมากเนื่องจากเห็นว่าเป็นบริษัทที่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลจะได้รับเงินปันผล กำไร และดอกเบี้ยสูงกว่าบริษัทอื่น สุดท้ายเมื่อได้รับเงินลงทุนเป็นจำนวนมาก ผู้ต้องหาได้ทำการฉ้อโกงเงินเหล่านั้นแล้วหลบหนีเข้ามาประเทศไทย เหตุเกิดที่ เมืองซานตง มณฑลกวางตุ้ง และมณฑลยูนนานสาธารณรัฐประชาชนจีน
ทั้งนี้ในรายของ น.ส.ชู หลิงเม่ย และนายหนอง ไข่หมิง มีการหลบหนีเข้ามาประเทศไทยโดยใช้หนังสือเดินทางประเทศเมียนมาเพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ ซึ่งหลังจับกุมได้ประสานกับทางการเมียนมายกเลิกหนังสือเดินทางประเทศเมียนมาแล้ว ทั้งนี้คดีดังกล่าวสาธารณรัฐประชาชนจีนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะเกิดขึ้นในหลายมณฑล และมีผู้เสียหายนับแสนคนประท้วงรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน ในเวลานี้
อีกคดี เจ้าหน้าที่ตำรวจศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศและการกระทำผิดทางอาญา (ศปอส.ตร.) ได้รับหนังสือสั่งการ ตร. ท้ายหนังสือ ตท. ที่ 0002.3/6180 ลง 24 สิงหาคม 2561 เรื่อง ทางสำนักงานตำรวจสากลสาธารณรัฐเกาหลี แจ้งข้อมูล นายกึนโฮ โช (MR.Geunho CHO) อายุ 56 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นที่ต้องการตัวของทางการเกาหลีใต้ โดยสถานทูตเกาหลีใต้ได้มีหนังสือถึงผู้บังคับการกองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง ขอความร่วมมือเกี่ยวกับผู้มีหมายจับชาวเกาหลีใต้ ตามหนังสือ ที่ KTH-18-624 ลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2561 โดยเป็นที่ต้องการตัวในความผิดฐานข่มขืนและทำร้ายร่างกาย
จากการตรวจสอบประวัติพบว่านายกึนโฮ โช อายุ 56 ปี มีประวัติเคยก่อเหตุทำร้ายร่างกายและข่มขืน ที่ประเทศเกาหลีใต้ จำนวน 7 ครั้ง และเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของประเทศเกาหลีใต้ หลังจากนั้นได้หลบหนีมาอยู่ในประเทศไทย จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่านายกึนโฮ โช ได้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทยตั้งแต่ วันที่ 20 เมษายน 2558 โดยใช้หนังสือเดินทางเลขที่ M12715791 จนกระทั่งเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2561 เจ้าหน้าที่ ศปอส.ตร. ร่วมกับเจ้าหน้าที่งานสายตรวจ 1 กก.สายตรวจ และเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ได้สืบสวนติดตามจนทราบว่านายกึนโฮ โช ได้พักอาศัยอยู่ที่ บ้านเลขที่ 235/33 ถ.ราษฎร์พัฒนา แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง กรุงเทพฯ จึงได้เดินทางไปตรวจสอบพบตัวนายกึนโฮ โช จึงแสดงตัวเข้าจับกุมได้ดังกล่าว
สำหรับพฤติการณ์ของนายกึนโฮ โช ถือว่าเข้าข่ายมีพฤติการณ์เป็นที่น่าเชื่อว่าเป็นบุคคลที่เป็นภัยต่อสังคมหรือจะก่อเหตุร้ายให้เกิดอันตรายต่อความสงบสุขหรือความปลอดภัยของประชาชนหรือความมั่น คงแห่งราชอาณาจักรหรือบุคคลซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างประเทศได้ออกหมายจับ จึงได้เสนอความเห็นไปยัง ผบช.สตม. เพื่อทำการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร ภายหลังจึงได้นำตัวไปยัง กก.3 ศสส.สตม.เพื่อทำการตรวจสอบและดำเนินการผลักดันและส่งตัวกลับประเทศตามกฎหมายต่อไป
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้เป็นการประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นการแสวงหาความร่วมมือในลักษณะวันทีม วันเวิล์ด และจะนำตัวผู้ต้องหาชาวจีนและเกาหลี ส่งไปยังประเทศต้นทางเพื่อดำเนินคดี การทำงานวันนี้ทำงานอย่างใกล้ชิด ในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ซึ่งยืนยันว่าการทำงานวันนี้ต้องทำงานเชิงรุก โดยอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งหากประเทศต้นทางไม่มีหมายแดง หรือหมายอินเตอร์โพล แต่หากมีการประสานงานมาก็จะดำเนินการจับกุมทันที
“วันนี้เรื่องการหลอกลวงลงทุนมีมาก มีทั้งคนไทยหลอกคนไทยลงทุนด้วยกันเอง หรือคนต่างชาติหลอกลงทุนด้วยกัน ซึ่งรูปแบบเป็นลักษณะคล้ายคลึงกัน สิ่งสำคัญคือการสร้างขั้นตอนให้ประชาชนเข้าใจ พึงระมัดระวังว่าการลงทุนที่ได้รับผลตอบแทนเกินกว่าร้อยละ 10 นั้นไม่มีจริง” พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง