รวบ "นายพลเก๊" ตุ๋นวิ่งเต้นคดี !!

 

             ที่ สน.บางซื่อ เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 21 ก.ย.2561 พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบช.ทท. พร้อมด้วย พ.ต.อ.วิรดล ทับทิมดี ผกก.สน.บางซื่อ , พ.ต.ท.พิชิต กอปรกิจงาม รอง ผกก.สส.สน.บางซื่อ พ.ต.ท.ปริญญา กลิ่นเกสร รอง ผกก.ป.สน.บางซื่อ พ.ต.ท.คณิศร พันบุดดา สวป.สน.บางซื่อ,พ.ต.ต.สุคนธ์ แสงโสดา , พ.ต.ต.สุระ ตั้งวัฒนกิตติกุล สว.สส.สน.บางซื่อ ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมตัว ผู้ต้องหา นายจิรกิตติ์ พลอยประยูร หรือนายภูมิภัทร ภัทรธำรง หรือจิรกิตติ์ จีบภิญโญ อายุ 66 ปี อยู่บ้านเลขที่ 590/223 ซ.สุเหร่าคลองหนึ่ง 13 แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กทม.

             พร้อมด้วยของกลาง คลิปเสียงที่มีการติดต่อผู้เสียหาย ที่สามารถวิ่งเต้นคดีต่างๆได้ บัตรประชาชน นามบัตรระบุชื่อ พล.ต.ต.จิรกิตติ์ จีบภิญโญ นตท.รุ่น 12 และ นรต.รุ่น 28 พร้อมที่อยู่เบอร์โทร รูปถ่ายที่ติดยศ พล.ต.ต.ในเครื่องแบบชุดขาว

 

 

 

 

             โดย พล.ต.ต.สรุเชษฐ์ เปิดเผยว่า สำหรับผู้ต้องหารายนี้ จะหลอกลวงผู้เสียหายว่าตัวเองเป็น พลตำรวจตรีจิรกิตติ์ จีบภิญโญ อดีตผู้การฯเชียงใหม่ จบโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่นที่ 28 หรือนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 12 รุ่นเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยพฤติการณ์คือจะเดินทางไปสถานีตำรวจโรงพักต่างๆ และอ้างตัวกับตำรวจที่ไปพบว่าตนเป็นอดีตผู้การฯ จบ นรต.รุ่นที่ 28 ขอความช่วยเหลือให้ตำรวจอำนวยความสะดวกกับคดี โดยฝากให้กับเพื่อนร่วมรุ่น นรต.รุ่นที่ 28 ที่เป็นผู้ใหญ่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จนมีนายตำรวจหลายคนหลงเชื่อ และสามารถวิ่งเต้นคดีต่างๆได้ โดยผู้ต้องหายังหลอกลวงผู้อื่นโดยการทำนามบัตรยศพลตำรวจตรี มีภาพถ่ายผู้ต้องหาใส่เครื่องแบบตำรวจชุดขาวติดยศพลตำรวจตรี ใส่สายสะพายเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นที่ 3 ลงภาพในเฟซบุ๊ก จนมีผู้หลงเชื่อว่าเป็นอดีตผู้การตำรวจจริง และถูกหลอกลวงเสียหายจำนวนหลายราย

 

 

 

 

             อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้าที่จะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม ผู้ต้องหารายนี้ได้โทรศัพท์มาที่ห้องวิทยุ สน.บางซื่อ เพื่อถามหาสารวัตรป้องกันปราบปราม สน.บางซื่อ ว่าคนใดเข้าเวร และขอหมายเลขโทรศัพท์เพื่อประสานงาน จากนั้นจึงได้โทรศัพท์เข้าไปหา แล้วอ้างว่าตัวเองเป็นอดีตผู้การฯ นรต.รุ่นที่ 28 ซึ่งจะเดินทางมาติดต่อที่กรมการขนส่งทางบก เขตจตุจักร กทม. และขอให้มาช่วยในการอำนวยความสะดวก ในการขอเลขทะเบียนที่สวย ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางซื่อ ได้รับฟังดังกล่าว จึงได้ทำการตรวจสอบ โดยไม่พบว่ามีชื่อดังกล่าวอยู่ในสารระบบ ดังนั้นจึงทำการวางแผนตรวจค้นจับกุม และสามารถจับกุมได้ที่กรมการขนส่งทางบก

 

 

 

 

             หลังการควบคุมตัวเอาไว้ได้ พบว่าผู้ต้องหาไม่ได้เป็นพลตำรวจตรีตามนามบัตรที่กล่าวอ้าง และไม่ได้เป็นตำรวจจริง และไม่ได้เรียนจบโรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 28 ดังนั้นจึงได้ทำการเชิญตัวมาที่ สน.บางซื่อ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหา 1.แจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย (ประมวลกฎหมายอาญา ม.137 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ)

 

 

 

 

             2.แต่งกายเครื่องแบบหรือประดับเครื่องหมายของเจ้าพนักงาน(ตำรวจ)โดยไม่มีสิทธิใช้ยศ ตำแหน่ง เครื่องราชอิสริยาภรณ์ หรือสิ่งที่หมายถึงเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนมีสิทธิ (ประมวลกฎหมายอาญา ม.146 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ)

 

 

 

             3.นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือ ประชาชน (พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ม.14 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ)

 

 

 

 

             สำหรับผู้ต้องหาเคยหลอกลวงเหยื่อและผู้เสียหายมาแล้วหลายราย เกี่ยวกับการวิ่งเต้นด้านคดีความ แต่ไม่สามารถช่วยเหลือได้ โดยมีผู้เสียหายสูญเสียเงินรายล่าสุดไปจำนวน 500,000 บาท และขณะนี้มีผู้เสียหายไม่ต่ำกว่า 5 ราย ที่สูญเสียเงินจากการวิ่งเต้นคดี และก่อนหน้านี้ผู้ต้องหาเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจยศ พ.ต.ท. จริง ตำแหน่งสุดท้าย เป็น สว.ธร.สน.เตาปูน และถูกให้ออกจากราชการ เมื่อปี 49 เนื่องจากพัวพันเรื่องยาเสพติด และเปลี่ยนชื่อมาถึง 2 ครั้ง ขณะเดียวกันได้ทำนามบัตรปลอมเป็น พล.ต.ต.จิรกิตติ์ จีบภิญโญ ซึ่งนามสกุล จีบภิญโญ เป็นนามสกุลของ ผบก.จ.เชียงใหม่ ซึ่งตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่กำลังติดต่อมาในฐานะเป็นเจ้าทุกข์

 

 

 

 

             เบื้องต้น นายจิรกิตติ์ จีบภิญโญ ได้ให้การภาคเสธว่าไม่ได้ทำการหลอกลวง แต่ทางเจ้าหน้าที่มีหลักฐานในการดำเนินคดีกับผู้ต้องหารายนี้ และจะไปค้นหาหลักฐานเพิ่มเติมที่บ้านของผู้ต้องหา เพื่อนำมาประกอบสำนวนในการกระทำความผิดต่อไป