"DSI"พร้อมประชุมเปิดคดีวางแนวสอบคดีการหายตัวของ"กะเหรี่ยงบิลลี่"เน้นควานหา"ศพ-รถจักรยานยนต์"จ่อประเมินแนวทางการโรยตัวลงไปในหุบเหวเพื่อค้นหาหลักฐานชิ้นสำคัญ
30 มิถุนายน 2561 "ดีเอสไอ"พร้อมประชุมเปิดคดี วางแนวสอบคดีการหายตัวของ”กะเหรี่ยงบิลลี่”เน้นควานหา“ศพ-รถจักรยานยนต์”จ่อประเมินแนวทางการโรยตัวลงไปในหุบเหวเพื่อค้นหาหลักฐานชิ้นสำคัญ
พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวถึงคดีการหายตัวไปของนายพอละจีรักจงเจริญ หรือกะเหรี่ยงบิลลี่ แกนนำชาวบ้านกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย และสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลห้วยแม่เพรียง จ.เพชรบุรี ซึ่งหายตัวไป หลังถูกเจ้าหน้าที่อุทยานจับกุมในความผิดเก็บของป่า ตั้งแต่วันที่ 17 เม.ย.57 ว่า หลังคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) มีมติให้ดีเอสไอรับสอบสวนเป็นคดีพิเศษ
โดยก่อนหน้านี้น.ส.พิณนภา พฤกษาพรรณ ภรรยาของนายพอละจีได้ร้องขอให้ดีเอสไอสอบข้อเท็จจริง และได้สืบสวนรวบรบวมพยานหลักฐานไปแล้วบางส่วน นอกจากนี้ภรรยาของนายพอละจียังได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ดำเนินการกับเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีควบคุมตัวนายพอละจีในข้อหาเก็บของป่าแล้วอ้างว่าปล่อยตัวไป โดยไม่นำตัวผู้ต้องหาส่งให้ตำรวจดำเนินคดี จนกระทั่งนายพอละจีหายสาบสูญไป เมื่อบอร์ดกคพ.มีมติรับเป็นคดีพิเศษ จะทำให้ดีเอสไอมีอำนาจสอบสวนคดีได้เต็มที่ หลังจากนี้จะมีการแต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนเพื่อประชุมเปิดคดีและวางแนวทางการสอบสวนในฐานความผิดต่างๆให้ชัดเจนต่อไป
รองอธิบดีดีเอสไอ กล่าวถึงข้อสันนิษฐานว่านายพอละจีอาจจะเสียชีวิตไปแล้วว่า กรณีเสียชีวิตสิ่งที่ต้องพิสูจน์ให้ได้คือศพและรถจักรยานยนต์ของนายพอละจี จากการลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงในชั้นสืบสวนพบว่า ในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานมีหุบเหวอยู่เป็นจำนวนมาก อาจจำเป็นต้องเข้าตรวจค้นพื้นที่ด้านล่างของหุบเหวต่าง ๆ เพื่อแสวงหาหลักฐานสำคัญในทางคดี เบื้องต้นจะสั่งการให้พ.ต.ท.เชน กาญจนปัจจ์ ผอ.กองคดีปฏิบัติการพิเศษภาค เพื่อวางแผนการจัดชุดเข้าไปในพื้นที่อุทยาน และอาจมีความจำเป็นต้องโรยตัวลงไปค้นหาในหุบเหวที่คาดว่าเป็นพื้นที่ต้องสงสัย เนื่องจากสภาพโดยรวมของพื้นที่เป็นป่าทึบและหุบเหว จึงไม่สามารถใช้โดรนบินค้นหาได้
สำหรับการหายตัวของนายพอละจีผ่านมานานกว่า 4 ปี บอร์ดกคพ.จึงมีมติรับเป็นคดีพิเศษ โดยก่อนหน้านี้ดีเอสไอได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อหาพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง โดยนำนักนิติวิทยาศาสตร์เข้าตรวจสอบรถยนต์ต้องสงสัยของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน พบคราบเลือดในห้องโดยสารบริเวณพื้นพรมตำแหน่งด้านหลังคนขับ และเมื่อส่งตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ทราบผลเพียงเป็นครบเลือดมนุษย์ แต่ไม่สามารถตรวจหาดีเอ็นเอได้ เนื่องจากรถผ่านการล้างทำความสะอาดไปหลายครั้งแล้ว
ส่วนกล้องวงจรปิดภายในอุทยานฯ ตามจุดต่างๆ ดีเอสไอได้เข้าตรวจสอบเพื่อค้นหาหลักฐานจากในจุดต้องสงสัย ซึ่งภาพที่บันทึกได้เห็นเพียงรถยนต์แต่ไม่เห็นใบหน้าบุคคลในรถ และการลงพื้นที่ตรวจสอบข้อมูลจากชาวบ้าน 200 คน ไม่มีใครให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ส่วนของเจ้าหน้าที่อุทยานทุกคนที่เข้าเวรถูกเรียกสอบทั้งหมด แต่ทุกคนปฎิเสธไม่รู้เห็น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง