ทนายยัน"พุทธะอิสระ"ขออนุญาตใช้พระปรมาภิไธยด้วยวาจา ให้ศิษย์ส่งเอกสารตามหลัง จนท.คุกนำตัวอดีตพระดังส่งรพ.อาการปวดหลังกำเริบ ผบ.ตร.ขีดเส้น 7 วันจับ 2 พระผู้ใหญ่
เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) มีรายงานว่า วันนี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เรียกประชุมด่วนผู้บัญชาการทุกหน่วยปฏิบัติทั่วประเทศ ประกอบด้วย ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1-9 ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ผู้บัญชาการสันติบาล หลังจากช่วงเช้าที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เรียกประชุมด่วน ผบ.ตร. และผบ.เหล่าทัพ ทำให้ผบ.ตร.ต้องเลื่อนการประชุมก.ตร.ออกไปจาก 10.30 น. เป็น 13.30 น.
รายงานข่าวแจ้งว่าการเรียกประชุมด่วนครั้งนี้เกิดขึ้นภายหลังเข้าพบนายกรัฐมนตรี โดยมีรายงานว่าผบ.ตร.ได้สั่งการให้ทุกหน่วยไปสืบสวนติดตามจับกุมพระพรหมสิทธิ เจ้าอาวาสวัดสระเกศ และพระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม ผู้ต้องหาคดีเงินทอนวัดที่ยังหลบหนีให้ได้โดยเร็ว ขีดเส้นตายล่าตัวให้ได้ภายใน 7 วัน โดยต้องรายงานความคืบหน้าทุกวันพร้อมแจกหมายจับพระทั้ง 2 รูปแก่ผู้เข้าร่วมประชุมด้วย
ส่วนอดีตพระพุทธะอิสระที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร มีลูกศิษย์แห่มาเยี่ยม
เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 28 พฤษภาคม ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร นายมหัศจักร โสดี พระจันทร์ สันติอโศก และนายสุทิน วรรณบวร พร้อมกลุ่มศิษย์อดีตพระพุทธะอิสระ ได้เดินทางมาเข้าเยี่ยมนายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรืออดีตพระพุทธะอิสระ แกนนำกปปส.เวทีแจ้งวัฒนะ ซึ่งถูกคุมขังระหว่างการสอบสวนในคดีอั้งยี่ ซ่องโจร ปลอมแปลงพระปรมาภิไธย ประดิษฐานไว้หลังองค์พระนาคปรก อุดปรอท รุ่นหนึ่งในปฐพี ที่จัดสร้างขึ้นโดยไม่ได้รับพระบรมราชานุญาต
นายมหัศจักร กล่าวว่า ในช่วงบ่ายวันนี้ทีมทนายความจะรวบรวมประเด็นข้อกฎหมายและข้อเท็จริงในคดีปลอมและใช้พระปรมาภิไธยโดยไม่ได้รับอนุญาต มาปรึกษากับอดีตพระพุทธะอิสระประสงค์ ซึ่งคดีนี้ผู้ต้องหาต้องการรับสารภาพ ส่วนปัญหาเรื่องสุขภาพของอดีตพระพุทธะอิสระนั้น มีอาการปวดหลังและเจ็บบั้นเอวจากโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทจริง แต่หน้าตายังสดใสและไม่ต้องการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของกรมราชทัณฑ์เพราะไม่อยากถูกมองว่ามีอภิสิทธิ์ ส่วนเรื่องการประกันตัวขณะนี้ทีมทนายความกำลังหารือและจะนำไปเสนอถามความเห็นชอบจากพระพุทธะอิสระในเรือนจำอีกครั้งว่าจะยื่นประกันตัวหรือไม่
ด้านพระจันทร์ กล่าวว่า อดีตพระพุทธะอิสระเดินออกมาจากห้องเยี่ยมญาติพร้อมอุปกรณ์ช่วยพยุงในการเดินเนื่องจากมีอาการเจ็บหลัง แม้เจ้าหน้าที่จะแนะนำให้ไปโรงพยาบาลก็ปฏิเสธเพราะกลัวจะถูกมอง ว่ามาสร้างปัญหา ทั้งนี้อดีตพระพุทธะอิสระฝากไปถึงลูกศิษย์ไม่ต้องเป็นห่วงอย่าไปโกรธแค้นคสช.หรือตำรวจกองปราบฯ การชำระพระพุทธศาสนา ฟากเราทำเองไม่ได้ แต่คสช.ทำได้ จึงต้องให้กำลังใจ การเข้ามาในเรือนจำยังไม่ทำให้พ้นจากความเป็นพระ เพราะยังไม่ได้เปล่งวาจาสึก รออีกไม่นานก็จะออกไปห่มผ้าเหลืองเหมือนเดิม การเข้าคุกเป็นภารกิจปราบอลัชชี ให้คิดว่ามาติดคุกขำๆ ในช่วงวันวิสาขบูชา อยากให้กลุ่มศิษย์ไปทำบุญที่วัดอ้อน้อย จ.นครปฐม กันมากๆ
ขณะที่ศิษยานุศิษย์ที่เข้าไปเยี่ยมอดีตพระพุทธะอิสระในเรือนจำ ต่างกล่าวว่าอดีตพระพุทธะอิสระมีสภาพจิตใจแจ่มใสดี โดยระบุเพียงว่าเปลี่ยนสถานที่ธุดงค์เท่านั้นและจะกลับไปนุ่งห่มจีวรตามเดิม เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมายังไม่เคยกล่าววาจาสึก ดังนั้นจึงยังคงดำรงสถานภาพเป็นพระเช่นเดิม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับอดีตพระเถระผู้ใหญ่ทั้ง 5 รายซึ่งถูกควบคุมตัวในคดีทุจริตเงินทอนวัด ได้มีพระลูกวัดและลูกศิษย์เดินทางมาเยี่ยมตั้งแต่ช่วงเช้าเช่นกัน
นายกฤช กระแสร์ทิพย์ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงอาการของนายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรือ อดีตพระพุทธะอิสระ ว่าอาการของนายสุวิทย์วันนี้ยังทรงตัว มีอาการปวดหลังและยังคงเดินไม่สะดวก ซึ่งวันนี้ (28 พ.ค.) ทางเรือนจำจะประสานแพทย์จากโรงพยาบาลราชทัณฑ์เข้าตรวจอาการของนายสุวิทย์อีกครั้งเพื่อประเมินอาการว่าจะต้องรักษาดูแลอย่างไร และมีความจำเป็นต้องส่งตัวไปรักษาที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์หรือไม่ แต่เบื้องต้นขณะนี้ยังไม่ได้แยกตัวนายสุวิทย์ไปดูแลเป็นพิเศษ
ทั้งนี้หลังจากแพทย์เข้าตรวจเมื่อช่วงบ่าย จากนั้นแพทย์มีความเห็นให้นำตัวอดีตพระพุทธะอิสระออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพไปยังทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ เพื่อตรวจอาการอย่างละเอียดและทำกายภาพ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่นำตัวเข้าคุมขังยังแดน 4 เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ไม่ได้พักค้างคืนที่โรงพยาบาลแต่อย่างใด ทั้งนี้ในวันพรุ่งนี้ (29 พ.ค.) เป็นวันหยุดราชการ ทางเรือนจำไม่เปิดให้เยี่ยมญาติ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันเดียวกันเรือนจำพิเศษกรุงเทพได้ส่งตัวอดีตพระอรรถกิจโสภณ เลขาฯ เจ้าคณะกรุงเทพ วัดสระสามพระยา มีอาการหัวใจเต้นเร็วผิดปกติจึงพาไปพบแพทย์ที่่โรงพยาบาลเพื่อให้ยารักษา จากนั้นนำตัวกลับมาคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพตามเดิม
ต่อมาเวลา 14.30 น. ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร นายไพบูลย์ นิติตะวัน นายธีรยุทธ์ สุวรรณเกษร และนายมหัศจักร โสดี ทีมกฎหมายของนายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรืออดีตพระพุทธะอิสระ เดินทางเข้าพบลูกความในห้องเยี่ยมญาติเพื่อปรึกษาประเด็นข้อกฎหมายกรณีอดีตพระพุทธะอิสระต้องการรับสารภาพในคดีปลอมและใช้พระปรมาภิไธยโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ไม่สามารถเข้าพบได้เนื่องจากเจ้าหน้าที่นำตัวอดีตพระพุทธะอิสระออกมาให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูก ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ตรวจหลังพบอาการหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ซึ่งจ่ายยาตามอาการก่อนส่งตัวกลับเข้าคุมขังที่แดน 4 แล้ว ทำให้ต้องเลื่อนการเข้าปรึกษาคดีออกไปเป็นวันที่ 30 พฤษภาคม
นายธีรยุทธ์ กล่าวว่า การเข้าพบอดีตพระพุทธะอิสระเพื่อต้องการให้ดูข้อมูลคดีปลอมและใช้พระปรมาภิไธย โดยอดีตพระพุทธะอิสระต้องการรับสารภาพ ซึ่งเป็นความจริงในทางพระ หรือเป็นการรับข้อเท็จจริงบางส่วนที่เป็นความจริง แต่ในทางกฎหมายคือการให้การภาคเสธ ทั้งนี้ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับพระปรมาภิไธยเป็นประเด็นที่พระพุทธะอิสระถูกโจมตีมาโดยตลอด ในส่วนของทีมทนายได้เตรียมข้อมูลทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายให้อดีตพระพุทธะอิสระตรวจสอบ โดยจะนำข้อมูลทั้งหมดให้ตรวจก่อนนำไปใช้ในทางคดี และขอยืนยันว่าอดีตพระพุทธะอิสระได้ขอใช้พระปรมาภิไธยจริง แต่เป็นการขออนุญาตด้วยวาจากับราชเลขาฯ ส่วนเอกสารหลักฐานในการขออนุญาตเป็นเรื่องของลูกศิษย์ที่จัดทำ
นายธีรยุทธ์ กล่าวอีกว่า สำหรับการเข้าเยี่ยมอดีตพระพุทธะอิสระในวันที่ 30 พฤษภาคมนี้ ได้รับการติดต่อว่าจะมีนักการเมืองจากภาคใต้เข้าเยี่ยมเพื่อให้กำลังใจด้วย อย่างไรก็ตามอดีตพระพุทธะอิสระยืนยันว่ายังไม่ขอยื่นประกันตัวจนกว่าตำรวจจะสรุปสำนวนสั่งฟ้องคดี ในส่วนของทีมทนายจะเตรียมหลักฐานทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงต่อสู้คดีอย่างเต็มที่แต่ยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถยื่นคำให้การในคดีปลอมและใช้พระปรมาภิไธยโดยไม่ได้รับอนุญาตได้ทันกำหนดฝากขังครั้งที่ 2 หรือไม่
“สภาพความเป็นอยู่ในเรือนจำเชื่อว่าอดีตพระพุทธะอิสระจะสามารถปรับตัวได้ วันนี้ได้ย้ายจากแดนแรกรับไปคุมขังในแดน 4 ส่วนเครื่องแต่งกายเรือนจำยังอนุโลมให้สวมเสื้อแขนสั้นสีขาวและกางเกงขาสั้นสีขาว หลังจากนี้อีกระยะหนึ่งจะปรับมาให้ใส่กางเกงสีน้ำตาลเมื่อจิตใจมีความพร้อมก็จะให้เปลี่ยนไปใส่ชุดนักโทษเต็มรูปแบบ” นายธีรยุทธ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง มีคำสั่งอนุญาตให้ฝากขังครั้งแรก อดีตพระเถระชั้นผู้ใหญ่ 5 รูป คือ “พระศรีคุณาภรณ์” ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ, “พระครูสิริวิหารการสมจิตร จันทร์ศรี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ, “พระวิจิตรธรรมาภรณ์ หรือเจ้าคุณเทอด” ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ, “พระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม)” เจ้าอาวาสวัดสามพระยา กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) และเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร และ “พระอรรถกิจโสภณ” เลขาฯ เจ้าคณะกรุงเทพ วัดสระสามพระยา ในคดีร่วมกันฟอกเงินทุจริตเงินอุดหนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรมรวมกว่า 150 ล้านบาทแล้วเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม ที่ผ่านมา โดยศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว “อดีตพระเถระทั้ง 5 รูป” เนื่องจากเห็นว่าคดีมีอัตราโทษสูง พฤติการณ์การกระทำความผิดมีผลกระทบต่อพุทธศาสนาและมีลักษณะเป็นขบวนการ โดยมีการแบ่งหน้าที่ยักย้ายเงินที่ได้มาผ่านทางธนาคาร จึงต้องมีเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดอยู่ในความครอบครองของผู้ต้องหากับพวก หากให้ปล่อยชั่วคราวแล้วเชื่อว่าผู้ต้องหาจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของเจ้าพนักงาน ประกอบกับพนักงานสอบสวนคัดค้านแล้ว
ต่อมา “อดีตพระเถระทั้ง 5 รูป” ซึ่งถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ได้มอบอำนาจให้ทนายความยื่นอุทธรณ์การประกันตัว แต่อย่างไรก็ดี วันนี้ (28 พ.ค.) ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งเรื่องการขอประกันตัวของ “อดีตพระเถระทั้ง 5 รูป” มาแล้ว ปรากฏว่า ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามศาลอาญาคดีทุจริตซึ่งเป็นศาลชั้นต้น ให้ยกคำร้องขอประกันตัว ด้วยเหตุผลเดียวกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนยกคำร้องขอประกันตัวชั้นฝากขังนี้แล้ว “อดีตพระเถระทั้ง 5 รูป” ก็ยังคงถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพต่อไป แต่หลังจากนี้ก็ยังสามารถใช้สิทธิตามกฎหมายที่จะยื่นคำร้องขอประกันตัวใหม่ต่อศาลอาญา หรือยื่นอุทธรณ์การประกันตัวต่อศาลอุทธรณ์ต่อไป ซึ่งการยื่นสามารถดำเนินการได้ตลอดในช่วงระยะฝากขังในคดีดังกล่าว ซึ่งข้อหาที่ถูกดำเนินคดี คือ ร่วมกันฟอกเงินนั้น พนักงานสอบสวนสามารถยื่นฝากขังได้ตามกฎหมายทั้งสิ้น 7 ผลัดรวม 84 วัน ซึ่งคดีนี้จะครบกำหนดฝากขังครั้งแรกในวันที่ 4 มิถุนายน โดยหากพนักงานสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้นไม่สามารถสรุปสำนวนส่งให้อัยการพิจารณาฟ้องหรือไม่ฟ้องได้ทันก็ต้องยื่นฝากขังต่อไปจนเมื่อสิ้นสุดเหตุจำเป็นหรือพิจารณาสำนวนเสร็จสิ้นแล้ว
จากกรณีหลายฝ่ายมีความเห็นว่าการเข้าจับกุมอดีตพระพุทธะอิสระเป็นการกระทำรุนแรงเกินกว่าเหตุนั้น
เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า เท่าที่ทราบเรื่องนี้มีผลกระทบต่อสังคม หลายคนอาจไม่เข้าใจ หลายคนอาจมองว่าเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ ซึ่งตนได้ขอโทษไปแล้ว และขอให้เห็นใจทั้งสองฝ่าย ในส่วนของเจ้าหน้าที่ก็พยายามที่จะทำหน้าที่ของตัวเองซึ่งอาจมากไป ทั้งนี้ก็มีมาตรการในการลงโทษอยู่แล้ว คราวนี้ตำรวจเขาก็มีการลงโทษ ซึ่งในส่วนของข้าราชการก็มีหลายวิธีการด้วยกัน โดยเฉพาะในเรื่องของพ.ร.บ.วินัยตำรวจ ทหาร การลงทัณฑ์การภาคทัณฑ์กักขังจำขังถ้าคดีไปถึงเรื่องของอาญาก็จะต้องดำเนินคดีอาญาด้วยทั้งหมด ก็อยู่ในขั้นตอนการดำเนินการทั้งหมด
“ขอร้องว่าอย่าให้เกิดความสับสนอลหม่านมากเกินไป ผมขอโทษด้วย ผมเป็นหัวหน้ารัฐบาล แต่เวลาทำงานทุกหน่วยงานก็มีหน้าที่ มีกฎหมายของตัวเอง ตรวจสอบกระทำความผิดตรงไหนก็ไปทดสอบตรงนั้น อยู่ที่วิธีการ มาตรการจะมากหรือน้อยเกินไป หน่วยงานก็ต้องลงโทษเจ้าหน้าที่ของตัวเอง ก็โชคดีที่ไม่มีใครบาดเจ็บหรือสูญเสีย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีสมาชิกอดีตกปปส.เรียกร้องให้ปลดผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พร้อมทีมที่เข้าจับกุมนายสุวิทย์ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ใช่เรื่องของตน ตนไม่ทำงานภายใต้แรงกดดันอะไรทั้งสิ้น ก็ต้องไปดูว่าอะไรถูก อะไรผิด การลงโทษก็มีหลายมาตรการอยู่แล้ว ทั้งการตักเตือน การภาคทัณฑ์ การลงทัณฑ์ เขาก็มีการลงโทษของเขาอยู่ ไม่เช่นนั้นก็จะยุ่งไปทั้งหมด
เมื่อถามว่าจะชี้แจงรูปถ่ายกับนายสุวิทย์ หรืออดีตพระพุทธะอิสระอย่างไร เพราะขณะนี้มีการเผยแพร่ในโลกโซเชียลจนมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีความสนิทสนมระหว่างกัน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “เรื่องนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมเคารพพระทุกรูปในช่วงเวลานั้น ผมก็ไปหลายวัด สร้างพระก็ไปกันทุกคน เมื่อก่อนนักการเมืองเป็นแบบนี้หรือไม่ วันนี้อย่าเอาเรื่องเก่ามาพัวพันกับเรื่องใหม่ ดังนั้นไม่ว่าใครเชิญ ผมก็ไป ถ้าไปได้ผมก็ไปได้ งานวันนั้นเขาเชิญผมและอดีตผบ.ทบ. 4 คนไปร่วมพิธีหล่อพระ ท่านก็หวังว่าให้มีทั้ง 4 ผบ.ทบ. พระจะขลังหน่อย ก็แค่นั้นเอง อย่าพูดอะไรให้เสียหายกันนักเลย”
ผู้สื่อข่าวถามว่าแล้วพระรุ่นดังกล่าวยังและยังขลังอยู่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ขลังหรือไม่เล่า ไม่รู้ไม่ได้ดู ศาสนาเป็นหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งสมเด็จพระสังฆราช ทรงมีคำสอนมาแล้วว่าให้ใช้หลักอริยสัจสี่ คือทุกข์ สมุห์ทัย นิโรธ มรรค หาให้เจอ หาหนทางดับทุกข์ให้เจอ หาหนทางดับความไม่สงบเรียบร้อยของประเทศเราให้เจอ ซึ่งรัฐบาลพยายามหามาตลอด 4 ปีแล้ว ซึ่งพวกเราต้องหาให้เจอด้วย” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง