แพทยสภาจ่อเรียก"หมอบอนด์"สอบจริธรรมรีวิวเมจิกสกิน เพจดังจับตาอาหารเสริมอีกตัว อย.ขู่ดารารับโฆษณามั่วเป็นเหตุคนตายโทษ "คุก" ด้าน ผบ.ตร.แถลงยึดอาหารเสริม"ลิน"คร่4
เมื่อวันที่ 30 เมษายน นพ.สัมพันธ์ คมฤทธิ์ กรรมการแพทยสภา กล่าวถึงกรณี นพ.ปิยะพงษ์ โหวิไลลักษ์ หรือหมอบอนด์ มีการรีวิวโฆษณาสินค้าในเครือเมจิกสกิน ว่ากรณีนี้เป็นการใช้วิชาชีพเหมือนกับไปขายของหาประโยชน์ เนื่องจากมีการใช้คำว่านายแพทย์ ซึ่งเป็นหมอไปรับรองผลิตภัณฑ์สุขภาพ ซึ่งหากเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ อย่างรถ อะไรก็ตามยังไม่ค่อยเกี่ยว แต่กรณีเมจิกสกิน หรือสินค้าอื่นๆ ที่เกี่ยวกับความงาม หรืออ้างลดน้ำหนัก หรือฟอกผิวขาว ซึ่งทำไม่ได้ถือว่าผิดพ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 และข้อบังคับแพทยสภาข้อที่ 44 ระบุว่าผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมผู้ใด ถ้าต้องการแสดงตนเพื่อโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพใดๆ ต่อสาธารณชนจะต้องไม่ใช้คำว่านายแพทย์ แพทย์หญิง หรือคำอื่นใดหรือกระทำการไม่ว่าโดยวิธีใดๆ ให้ประชาชนเห็นหรือทราบข้อความ ภาพ เครื่องหมาย หรือกระทำอย่างใดๆ ให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่าเป็นแพทย์ หรือผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม
แฟ้มภาพ
“สำหรับโทษนั้นต้องบอกว่ามี 4 ระดับ คือ ว่ากล่าวตักเตือน ภาคทัณฑ์ พักใช้ และเพิกถอน ซึ่งส่วนใหญ่จะบอกว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่รู้กฎหมาย ก็มักจะเป็นว่ากล่าวตักเตือน แต่หากสอบสวนแล้วพบว่า มีส่วนรู้เห็นและรู้เรื่องก็จะเป็นอีกระดับหนึ่ง แต่สำหรับกรณีหมอบอนด์ ก็ต้องมีการสอบสวนก่อน ซึ่งจะมีการประชุมกรรมการแพทยสภากลางเดือนพฤษภาคมนี้และจะแต่งตั้งอนุกรรมการสอบสวนจริยธรรมเพื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะ ซึ่งเคสนี้ไม่น่าใช้เวลานาน เพียงแต่ต้องเชิญหมอเข้ามาชี้แจงด้วย” นพ.สัมพันธ์ กล่าว
กรรมการแพทยสภา กล่าวอีกว่า กรณีจะต้องสอบสวนให้รู้ให้ได้ว่า จริงๆ เจ้าตัวรู้ซึ้งแค่ไหน ว่าผลิตภัณฑ์ตัวนี้ผ่านอย.หรือไม่ อย่างไร และมีส่วนเกี่ยวพันอย่างไร ซึ่งหากเจ้าตัวบอกว่าไม่รู้ไม่เห็นและหลักฐานชี้ไปเช่นนั้นก็ต้องพิจารณาตามข้อเท็จจริง แต่หากเขาไม่รู้จริงๆ ก็คงต้องว่ากล่าวตักเตือน อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้น่าจะเป็นอุทาหรณ์ ซึ่งทางแพทยสภาจะออกประกาศแจ้งเตือนแพทย์ทั่วประเทศผ่านเว็บไซต์ให้ระมัดระวังในการรีวิวสินค้า และห้ามใช้วิชาชีพแพทย์รีวิวหรือเกี่ยวข้องกับสินค้าสุขภาพ เพราะจะขัดต่อข้อบังคับของแพทยสภา หรือกล่าวง่ายๆ ว่าหมอต้องไม่เอาวิชาชีพหมอไปขายของ ซึ่งวิชาชีพอื่นก็เช่นกัน ทั้งพยาบาล ทันตแพทย หรือแม้แต่เภสัชกร ก็ต้องพึงระวังทั้งสิ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่าจริงๆ เรื่องนี้แพทย์ทุกคนต้องทราบถึงจริยธรรมหรือความเหมาะสมในการปฏิบัติตัวตั้งแต่แรกหรือไม่ นพ.สัมพันธ์ กล่าวว่า การเรียนแพทย์เรียนหนักมาก เรียนมากมาย นอกจากเรียนแพทย์ เขาอาจไม่รู้ทุกมุมก็ได้ อย่างแพทย์จบใหม่ปีละ 3 พันคน คงมีไม่ถึง 100 คนจะรู้เรื่องหมด อย่างบางคนบอกว่าการใช้ยาสมเหตุสมผลควรบรรจุในการเรียนแพทย์ หรือการสื่อสารกับประชาชนก็ควรบรรจุในการเรียนแพทย์ จริงๆ ซึ่งเยอะไปหมด แต่อย่างไรก็ตามเบื้องต้นแพทยสภาจะออกประกาศเตือนหมอว่าลักษณะอย่างกรณีเมจิกสกิน อย่าทำ
เมื่อแพทย์หลายคนยังไม่ทราบว่าโฆษณาสินค้าแบบนี้ไม่ได้ เราจะเตือนประชาชนอย่างไร นพ.สัมพันธ์ กล่าวว่า คนไทยเชื่อคนง่าย ยิ่งเป็นแพทย์เป็นหมอนี่เชื่อเลย ซึ่งไม่ได้หรอก ตนมองว่าควรมีหน่วยงานกลางมาทำหน้าที่ตอบคำถามเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ ซึ่งอาจเป็นสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เป็นผู้รับผิดชอบในการตอบคำถามเรื่องนี้หรือไม่ หรือควรประชาสัมพันธ์ให้หนัก ดังนั้นขอให้ประชาชนพิจารณาดีๆ อย่าเชื่อรีวิว เพราะสินค้ารีวิวทำเพื่อประโยชน์ทางการค้ามากกว่า แต่หากสงสัยก็สอบถามไปยัง อย.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเพจเฟซบุ๊กดัง “ดอกจิก v.3” ออกมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมหลังกระแสผลิตภัณฑ์อาหารเสริมหลายๆ ตัว กำลังอยู่ในกระแสตรวจสอบหลังอาหารเสริมออนไลน์เจ้าดัง “เมจิกสกิน” พบสารอันตรายมากมายและยังมีเลข อย.ไม่ตรงกับผลิตภัณฑ์และทั้งยังพบว่าโรงงานที่ใช้ผลิตไม่เหมาะสม โดยผลิตภัณฑ์ที่เข้าข่ายหลอกหลวงผู้บริโภคอีกตัวตอนนี้ หลังพบเขียนสรรพคุณข้างกล่องและคำโฆษณาเกินจริงสามารถรักษาโรคได้ เช่น ต้านมะเร็ง บำรุงตับ รักษาแผลในกระเพาะอาหาร ลดความดัน
โดยมีเนื้อหาโพสต์ว่า “อาหารเสริม XXX ค่อนข้างน่ากลัวมากในการเคลมโฆษณาขนาดนี้ เป็นการโฆษณาเกินจริงชัดเจน อาหารเสริมไม่สามารถรักษาโรคได้ เช่น ต้านมะเร็ง บำรุงตับ รักษาแผลในกระเพาะอาหาร ลดความดัน ลดไขมันในเลือด บำรุงหัวใจ ดักจับไขมันเก่า สรรพคุณครอบจักรวาลอย่างมาก เป็นแค่อาหารเสริมทำไมโฆษณาขนาดนี้ ทำให้ผู้บริโภคเกิดความเข้าใจผิด พิจารณาจากข้อความแล้ว คำโฆษณาแบบนี้ อย.ไม่ให้มีข้อความแบบนี้ในใบ ฆอ. (ใบอนุญาตโฆษณาอาหาร) เบื้องต้นอาจจะพบความผิดคือโฆษณาไม่เป็นไปตามที่โฆษณา โฆษณาโดยไม่ได้รับอนุญาตโฆษณาโดนใช้ข้อความอันเป็นเท็จหรือเกินจริง ทำให้ผู้บริโภคอาจจะเข้าใจผิดในสาระสำคัญ โดยขอคำชี้แจงจากบริษัท AK91 GROUP ด้วย”
ทั้งนี้จากกฎหมายการคุ้มครองผู้บริโภคด้านโฆษณา ด้านฉลาก ด้านสัญญา นั้นจากมาตรา 28 ในกรณีที่คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณามีเหตุอันควรสงสัยว่าข้อความใดที่ใช้ในการโฆษณาเป็นเท็จหรือเกินความจริงตามมาตรา 22 วรรคสอง (1) ให้คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณามีอำนาจออกคำสั่งให้ผู้กระทำการโฆษณาพิสูจน์เพื่อแสดงความจริงได้ ในกรณีที่ผู้กระทำการโฆษณาอ้างรายงานทางวิชาการ ผลการวิจัย สถิติ การรับรองของสถาบันหรือบุคคลอื่นใด หรือยืนยันข้อเท็จจริงอันใดอันหนึ่งในการโฆษณา ถ้าผู้กระทำการโฆษณาไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าข้อความที่ใช้ในการโฆษณาเป็นความจริงตามที่กล่าวอ้าง ให้คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณามีอำนาจออกคำสั่งตามมาตรา 27 ได้ และให้ถือว่าผู้กระทำการโฆษณารู้หรือควรได้รู้ว่าข้อความนั้นเป็นความเท็จ
วันเดียวกัน นพ.วันชัย สัตยาวุฒิพงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แถลงข่าวความคืบหน้ามาตรการเข้ม อย. ต่อผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ว่าช่วงที่ผ่านมา อย.มีการตรวจพบผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ผิดกฎหมายและส่งต่อไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจในการตรวจและจับผลิตภัณฑ์ 2 กลุ่ม คือ ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง คือ เมจิกสกิน และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร คือ ลีน ที่อ้างลดน้ำหนัก โดยในเรื่องของเมจิกสกิน ไม่ใช่แค่ตรวจสอบและจับกุมเท่านั้น แต่ครั้งนี้ถือเป็นครั้งใหญ่ในการทลายแหล่งเครือข่ายการโฆษณาเกินจริงก็ว่าได้ ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังขยายผลต่อ อย่างไรก็ตาม อย.ไม่เคยนิ่งนอนใจ ได้มีมาตรการต่างๆ โดยเฉพาะกรณีมีดารา คนดัง ที่ออกมารีวิวผลิตภัณฑ์เมจิกสกินกันจำนวนมาก หลายคนระบุว่าไม่ทราบเนื่องจากเห็นแค่ตรา “อย.” คิดว่าถูกกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ต้องบอกว่ากรณีนี้ผู้ที่รีวิวสินค้าจะถือว่าเข้าข่ายโฆษณาชวนทันที ซึ่งคนที่รีวิวก็ต้องตรวจสอบ จะบอกว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์คงไม่ได้เพราะกฎหมายไม่ละเว้น
“การที่บอกว่าเห็นตราอย. แล้วคิดว่าถูกกฎหมายนั้น จริงๆ แล้วไม่ว่าสินค้าใดๆ มีความเสี่ยงถูกปลอมได้ ต้องตรวจสอบก่อนจะโฆษณาสินค้า และหากไม่เชื่อมั่นควรสอบถามมายังช่องทานของอย. หรือเดินเข้ามาที่อย.เลยก็ได้ เพื่อให้แน่ใจว่าสินค้าตัวนี้รีวิวได้หรือไม่ และการรีวิวหรือโฆษณาควรพูดอะไรให้ไม่ผิดกฎหมาย เข้ามาถามได้เลย เพราะอย่าลืมว่าเป็นคนดังก็ต้องตรวจสอบให้ถี่ถ้วนเพรานี่คือชื่อเสียงผู้ที่รีวิวสินค้าด้วย” เลขาธิการ อย.กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีดาราคนดังรีวิวสินค้าเกินจริง หรือผิดกฎหมาย มีโทษอย่างไร นพ.วันชัย กล่าวว่า เบื้องต้นกรณีดังกล่าวทั้งผู้ผลิตผู้ที่เกี่ยวข้อง หรือการโฆษณาเกินจริง เราจะประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจในการดำเนินการข้อมูลเพื่อจัดโทษหนัก โดยเบื้องต้นสำหรับโทษโฆษณาเกินจริงมีโทษปรับตั้งแต่ 5 พันบาทไปจนถึงแสนบาท และจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนไปจนถึง 3 ปี และไม่ใช่แค่กรณีเมจิกสกินเท่านั้น ทุกสินค้า หากพบว่าการหากรีวิวแล้วสินค้านั้นมีผู้บริโภคใช้สินค้าแล้วอันตรายถึงแก่ชีวิต ดาราหรือใครที่รีวิวก็ต้องรับโทษสูงสุดคือจำคุกด้วย
นพ.วันชัย กล่าวอีกว่า ส่วนที่หลายคนกังวลว่าระบบในการขึ้นทะเบียนผ่านออนไลน์ หรือที่เรียกว่า e-Submission ซึ่งมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเสนอว่าน่าจะยกเลิกนั้น คงยกเลิกไม่ได้ เพราะปัจจุบันทั่วโลกมีการใช้ระบบดิจิทัลกันหมด แต่เราต้องปรับปรุงเพิ่มมาตรการให้เข้มงวดมากกว่า ซึ่งจากการหารือร่วมกันทั้งสภาอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ได้ข้อสรุปดังนี้ ในส่วนเครื่องสำอางนั้น จากนี้ไปจะไม่ใช่แค่รับเอกสารยื่นขอขึ้นทะเบียนเท่านั้นแต่จะมีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอกสารอย่างละเอียด และก่อนจะขึ้นทะเบียนก็จะมีการตรวจสอบไปยังโรงงาน หรือสถานที่ผลิตว่า ผ่านมาตรฐานด้วยหรือไม่ ซึ่งสินค้าเครื่องสำอางถือเป็นผลิตภัณฑ์ความเสี่ยงต่ำ ในอดีตไม่ต้องตรวจสถานที่ผลิต แต่จากนี้จะออกประกาศเป็นกฎกระทรวงภายใต้ พ.ร.บ.เครื่องสำอาง พ.ศ.2558 ในช่วงเดือนมิถุนายน 2561 นี้ ว่า ต้องมีการแจ้งสถานที่ผลิตที่มีการตรวจสอบแล้วด้วย โดยการตรวจนั้นจะเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายนไป คาดว่าใช้เวลา 3 เดือนจะตรวจโรงงานผลิตได้หมด และหลังจากผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางได้รับขึ้นทะเบียน อย.ก็จะมีการตรวจหลังจากนั้นอีก
เลขาธิการอย. กล่าวว่า นอกจากนี้จะมีการสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังร่วมกันให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น ทั้งภาคประชาชน สื่อมวลชน หรือเพจบนเฟซบุ๊กต่างๆ ก็สามารถร่วมเป็นหูเป็นตาในการตรวจสอบและสอดส่องให้แก่อย. ซึ่งสามารถแจ้งมาได้ที่สายด่วน อย. 1556 หรือเว็บไซต์ของอย. Oyor.com หรือแอพพลิเคชั่น อย. Oryor Smart Application หรือส่งอีเมลมาที่ [email protected] รวมไปถึงช่องทางไลน์แอพพลิเคชั่น FDAthai หรือมาที่สำนักงานได้ด้วยตนเอง และที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด
“ไม่อยากให้ทุกคนคิดว่าต่อจากนี้จะเชื่ออย.ได้หรือไม่ ขอรับรองว่า เชื่อได้แน่นอน เนื่องจากแบนด์ อย. ได้รับความเชื่อถือมานาน ประเทศรอบข้างยังเชื่อถือ แต่ระยะหลังเศรษฐกิจขยายตัว และมีผู้ประกอบการที่ไม่สุจริตอาศัยตรา อย.ไปหลอกลวง ก็ต้องอาศัยช่องทางนี้ในการช่วยกัน หากพบก็แจ้งเข้ามา และจะดำเนินการทางกฎหมายทันที และในอนาคตจะร่วมกับสภาอุตสาหกรรมในการทำให้ตรา อย. ปลอมยากยิ่งขึ้น แต่จะทำอย่างไรคงยังตอบไม่ได้ และเราได้ประสานกับคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือกสทช. เกี่ยวกับการโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์ ช่องทางทั้งหลาย วิทยุ ทีวี ซึ่งกสทช.จะอำนวยความสะดวกให้อย.เข้าไปตรวจสอบทุกชิ้น หากไม่เหมาะสมจะระงับทันที ” เลขาธิการอย. กล่าว
นพ.พูลลาภ ฉันทวิจิตรวงศ์ รองเลขาธิการ อย. กล่าวว่า สำหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารยี่ห้อลีน เดิมอย. เคยออกประกาศไปแล้วเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยแจ้งเตือนว่ามีลอตไหนบ้างของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวที่พบสารอันตราย ห้ามใช้ ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ฉลากระบุ ลีนเอฟเอส ทรี Lyn FS-Three ชนิดกล่องละ 10 แคปซูล เลขสารพบอาหาร 13-1-05459-5-0017 ซึ่งพบสารบิซาโคดิล และฉลากระบุ ลีน บล็อก เบิร์น เบรก บิลด์ Lyn Block Burn Brake Build ขนาดบรรจุกล่องละ 10 แคปซูล เลขสารพบอาหาร 13-1-05459-5-0006 ผลตรวจพบไซบูทรามีน ซึ่งล่าสุดพบชายอายุ 47 ปีเสียชีวิตที่จ.ปทุมธานี โดยพี่สาวระบุว่าผู้ตายไม่มีโรคประจำตัว แต่ที่ผ่านมาได้กินยาลดความอ้าวนมา 2 เดือน เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่าเป็นลอตเดียวกับที่เคยประกาศไว้ แต่ผลตรวจต้องรอการพิสูจน์ยืนยันอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ณ ขณะนี้ขอให้ประชาชนระวัง และอย่าไปรับประทานผลิตภัณฑ์ดังกล่าว และขอย้ำว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไม่มีสรรพคุณใดๆ ตามที่รีวิว ยิ่งลดน้ำหนักยิ่งไม่ใช่
ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารลีนที่ผู้ชายกินเข้าไปจนเสียชีวิตนั้น เป็นลอตเดียวกันหรือไม่ และเก็บหมดในท้องตลาดแล้วหรือยัง นพ.พูลลาภ กล่าวว่า เป็นลอตเดียวกัน แต่ในท้องตลาดมีจำนวนมากแค่ไหน ผู้ผลิตที่กระทำผิดกฎหมายไม่ได้บอกชัดเจน แต่ขณะนี้ก็พยายามแจ้งทางเครือข่ายในการเก็บออกให้หมด แต่สิ่งสำคัญขอเตือนประชาชนต้องระมัดระวัง และอย่ารับประทานผลิตภัณฑ์เหล่านี้ หรือไม่มั่นใจ พบผลิตภัณฑ์ยี่ห้อนี้ให้แจ้งมาที่ อย.ทันที หลังจากนั้นจะส่งเจ้าหน้าที่ลงไปจัดเก็บ
วันเดียวกันที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้มีการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพ เครื่องสำอาง ทางเว็บไซต์โดยใช้บุคคลที่มีชื่อเสียง บุคคลที่น่าเชื่อถือ หรือเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์เข้าไปเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการใส่เครื่องแบบหรือชุดที่แสดงให้เห็นว่าเป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข จึงขอให้ระมัดระวังการให้ข้อมูลหรือรีวิวสินค้า ในรูปแบบโฆษณาแฝงทางเว็บไซต์ออนไลน์ หรือออฟไลน์
แฟ้มภาพ
ทั้งนี้การใช้ตำแหน่งหน้าที่โฆษณาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมอาจผิดวินัยข้าราชการพลเรือน กรณีอาศัยหรือยอมให้ผู้อื่นอาศัยตำแหน่งหน้าที่ราชการของตนหาประโยชน์แก่ตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบตามมาตรา 83(3) ซึ่งอาจเป็นความผิดทางวินัย กรณีข้าราชการกระทำการหรือยอมให้ผู้อื่นกระทำการหาผลประโยชน์ซึ่งอาจทำให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ราชการของตน ทำให้ประชาชนไม่ศรัทธาและไม่ให้ความร่วมมือกับทางราชการตามมาตรา 83(5) แห่งพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 โดยจะต้องให้กลุ่มเสริมสร้างวินัยและระบบคุณธรรมพิจารณาเป็นกรณีไป
นพ.โอภาส กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามขอเตือนประชาชนให้เลือกซื้อสินค้าจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และตรวจสอบความน่าเชื่อถือจากสายด่วน อย.1556, Oryor Smart Application, Line : FDAthai หรือเว็บไซต์ fda.moph.go.th สำหรับบริการสุขภาพและคลินิกทุกประเภทให้ตรวจสอบที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพที่ 0-2193-7000
เมื่อเวลา 18.00 น.วันเดียวกัน พล.ต.อ.จักทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผบ.ตร. และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันแถลงผลการตรวจยึดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารยี่ห้อลิน (LYN) จำนวน 62,000 กล่อง มูลค่าความเสียหายประมาณ 24,180,000 ล้านบาท โดยเข้าตรวจค้นและตรวจยึดของกลางที่บริษัท Food Science Supply Service จำกัด เลขที่ 99/29 หมู่ 2 ต.สามโคก จ.ปทุมธานี โดยมีกรรมการบริษัท คือ น.ส.ธีรนุช นันทะพล อายุ 28 ปี และนายณัฐวัฒน์ วโรดมย์กร อายุ 46 ปี และบริษัทเอกอัครินทร์ เลขที่ 109/8 หมู่ 3 ถนนพระยาสัจจา ต.บ้านสวน อ.เมือง จ.ชลบุรี โดยมีกรรมการบริษัท คือ นายพันธ์ชนะ รัตนประสิทธิ์ อายุ 47 ปี และน.ส.พิมพ์ลภัทร เอกอัครินทร์ อายุ 40 ปี
พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 4 เมษายน ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (กก.4 บก.ปคบ.) เข้าตรวจค้นโรงงานบรรจุผลิตภัณฑ์เสริมอาหารยี่ห้อลิน (LYN) จำนวน 2 แห่ง ในพื้นที่ปทุมธานี และชลบุรี พบผลิตภัณฑ์ยี่ห้อลินหลายรายการ อาทิ ชนิดแคปซูล สีเขียวอ่อน จำนวน 3,500 แผง สีขาวมุก จำนวน 1,400 แผง ซองบรรจุผลิตภัณฑ์สีแดง ไม่มีฉลาก จำนวน 200 ซอง ผลิตภัณฑ์ผงสีน้ำตาลอ่อน จำนวน 6 ถุง น้ำหนักรวม 240 กิโลกรัม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร กล่องสีดำ จำนวน 1,000 กล่อง และกล่องสีขาว จำนวน 3,000 กล่อง
จากการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ดังกล่าวพบสารต้องห้าม 2 ชนิด คือ ไซบูรามีน ไฮโดรคลอไรด์ มีฤทธิ์กล่อมประสาทส่วนกลางทำให้ไม่อยากอาหารซึ่งมีผลข้างเคียงกับผู้ที่เป็นโรคหัวใจ โดยพบสารนี้ในผลิตภัณฑ์ยี่ห้อลิน สูตรบล็อก เบิร์น เบรก บิวด์ (กล่องสีขาว) และสารไบซาโคดิส มีฤทธิ์เป็นยาระบาย โดยพบสารนี้ในผลิตภัณฑ์ยี่ห้อลิน สูตร เอสเอส-ทรี (กล่องสีดำ) ซึ่งสารต้องห้ามทั้ง 2 ตัวนั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้สั่งยกเลิกการผลิตไปแล้ว แต่มีการลักลอบเข้ามาในประเทศเพื่อผสมกับอาหารเสริมชนิดต่างๆ ซึ่งหากรับประทานติดต่อกัน 2 สัปดาห์ ก็จะส่งผลเสียต่อร่างกาย และที่ผ่านมามีผู้เสียชีวิตจากการรับประทานผลิตภัณฑ์ดังกล่าวแล้ว 4 ราย
ทั้งนี้ขอแจ้งเตือนประชาชนว่าอย่ารับประทานอาหารเสริมดังกล่าว เพราะมีผลกระทบต่อร่างกายรุนแรงมาก และหากพบว่าผู้ใดมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายผิดกฎหมาย จะถูกดำเนินคดีในข้อหาจำหน่ายอาหารไม่บริสุทธิ์ ตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ.2522 มีโทษจำคุก 2 ปี ปรับ 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยหลังจากนี้จะต้องรอผลการตรวจสอบผลิตภัณฑ์จากทางอย.ก่อน จึงจะสามารถเอาผิดต่อเจ้าของได้ โดยเบื้องต้นเข้าข่ายความผิดตามพ.ร.บ.อาหาร ผลิตนำเข้าเพื่อจำหน่าย ซึ่งอาหารปลอม มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 10 ปี และปรับ 5,000 ถึง 100,000 บาท และข้อหาแสดงฉลากไม่ถูกต้อง ปรับไม่เกิน 30,000 บาท
สำหรับผลิตภัณฑ์ลีนนั้น มีสารที่เป็นอันตราย 2 ชนิด ซึ่งอย.สั่งยกเลิกการผลิตไป แต่ยังมีการลักลอบน้ำเข้ามาผสมอาหารเสริมต่างๆ คือไซบูทรามีน ไฮโดรคลอไรด์ ที่มีฤทธิ์กล่อมประสาทส่วนกลางทำให้ไม่รู้สึกอยากอาหาร และไบซาโคดิล มีฤทธิ์เป็นยาระบาย
ด้าน พล.ต.อ.วิระชัย กล่าวว่า จากการรวบรวมข้อมูลมีผู้เสียชีวิตจากการรับประทานผลิตภัณฑ์ 2 ชนิดนี้ จำนวน 4 ราย จึงเร่งรวบรวมพยานหลักฐานว่าเป็นผลโดยตรงจากการรับประทานยาหรือไม่ แต่ทั้ง 4 คนมีอาการคล้ายกัน ซึ่งขณะนี้ได้สั่งการไปทั่วประเทศเพื่อระดมกวาดล้างจับกุม จากเดิมที่เป็นแค่อาหารเสริม แต่ใส่ยาอันตรายเข้าไปมีโทษจำคุก 2 ปี ปรับ 20,000 บาท ซึ่งผู้เสียหายสามารถเข้าแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่โรงพักทั่วประเทศ
“สำหรับผลิตภัณฑ์ดังกล่าวที่ยึดมาได้นั้นมีทั้งส่วนที่รอการผลิตและส่วนที่ผลิตแล้ว ซึ่งถือเป็นการยับยั้งการเสียชีวิตที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ อย่างไรก็ตามขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลพิสูจน์ว่ามีสารต้องห้ามหรือไม่ ซึ่งหากพบก็จะดำเนินคดีตามกฎหมาย และหลังจากนี้ก็จะไปตรวจสอบขยายผลการลักลอบนำเข้าสารชนิดนี้ด้วย” พล.ต.อ.วิระชัยกล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง