ข่าว

ออส.ฟ้อง"เปรมชัย"ล่าสัตว์ป่าแค่ 6 ข้อหา

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

อสส.เห็นพ้องภาค 7 ไม่ฟ้อง"เปรมชัย"อีก 3 ข้อหา"ล่าสัตว์ป่า"ตามที่ตร.เห็นแย้ง ส่งฟ้อง 6 ข้อหาชี้โทษสูงสุดจำคุก 10 ปี ขณะที่"เจ้าสัว-คนรถ"โดนฟ้องแล้วคดีติดสินบน

     คืบหน้ากรณีตำรวจภูธรภาค 7 ได้ส่งความเห็นแย้งคดีที่นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหาร บริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเม้นท์ จำกัด(มหาชน)พร้อมพวกรวม 4 คน ตกเป็นผู้ต้องหาที่ 1-4 ลักลอบล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฝั่งตะวันตก อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี โดยอัยการภาค 7 เห็นควรสั่งฟ้องนายเปรมชัย จำนวน 6 ข้อหาจาก 9 ข้อหา ที่ตำรวจเสนอมา แต่ตำรวจภูธรภาค 7 เห็นแย้งให้ฟ้องเพิ่มอีก 3 ข้อหาคือ คือ 1.ร่วมกันเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต 2.ร่วมกันมีเครื่องมือสำหรับล่าสัตว์ป่า 3.ร่วมกันพยายามล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมทั้งยืนยันให้ฟ้องผู้ต้องหาร่วมอีก 3 คนด้วย โดยอัยการภาค 7 ได้ส่งความเห็นแย้งให้อัยการสูงสุดพิจารณาชี้ขาดนั้น

     ล่าสุดเมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 30 เมษายน นางสมศรี วัฒนไพศาล อธิบดีอัยการภาค 7 และนายสมเจตน์ อำนวยสวัสดิ์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 2 ภาค 7 ได้ร่วมกันแถลงข่าวที่สำนักงานอัยการภาค 7 จ.ราชบุรี ถึงกรณีที่อัยการสูงสุดได้ส่งความเห็นชี้ขาดกลับมาให้ทางอัยการภาค 7 ว่า อัยการสูงสุดได้พิจารณาแล้วและมีความเห็นพ้องกับอัยการภาค 7 คือให้ฟ้อง 6 ข้อหาส่วนที่ทางตำรวจภูธรภาค 7 ขอให้เพิ่มอีก 3 ข้อหานั้นก็ตกไป โดยแยกข้อหาของแต่ละคนดังนี้ นายเปรมชัย ผู้ต้องหาที่ 1 สั่งฟ้องข้อหาร่วมกันพกพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาติ, ร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าร่วมกันซ่อนเร้นช่วยพาเอาไปเสียหรือรับไว้ด้วยประการใดๆซึ่งซากของสัตว์ป่าอันได้มาโดยกระทำผิดกฎหมาย และร่วมกันเก็บของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาติ

ออส.ฟ้อง"เปรมชัย"ล่าสัตว์ป่าแค่ 6 ข้อหา

     นายยงค์ โดดเครือ ผู้ต้องหาที่ 2 สั่งฟ้องข้อหา ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครองครองโดยไม่ได้รับอนุญาติ, ร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาติ, ร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันช่วยซ่อนเร้น ช่วยพา เอาไปเสีย หรือรับไว้ด้วยประการใดๆซึ่งซากของสัตว์ป่าอันได้มาโดยการกระทำผิดกฎหมาย, ร่วมกันเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาติ

     นางนที เรียมแสน สั่งฟ้องข้อหา ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาติ, ร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันช่วยซ่อนเร้น ช่วยพา เอาไปเสียหรือรับไว้ด้วยประการใดๆซึ่งซากของสัตว์ป่าอันได้มาโดยการกระทำผิดกฎหมาย และร่วมกันเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต

     ส่วนนายธานี ทุมมาศ สั่งฟ้องข้อหา ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยมิได้รับอนุญาตฯ,ร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยมิได้รับอนุญาต, ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากของสัตว์ป่าคุ้มครองโดยมิได้รับอนุญาต, ร่วมกันช่วยซ่อนเร้น ช่วยพา เอาไปเสียหรือรับไว้ด้วยประการใดๆ ซึ่งซากของสัตว์ป่าอันได้มาโดยการกระทำผิดกฎหมาย, ร่วมกันเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต และพยายามล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยมิได้รับอนุญาต

     นางสมศรี กล่าวอีกว่า  ทั้งนี้เมื่อวันที่ 27 เมษายน นายเปรมชัย ได้ยื่นคำร้องขอความเป็นธรรมต่ออธิบดีอัยการภาค 7 ขอให้สอบสวนพยานเพิ่มเติม ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสถานที่อยู่ของนายเปรมชัยในช่วงวันเวลาเกิดเหตุพร้อมส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องมาด้วย และขอให้สอบสวนเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก 3 คน รวมทั้งให้สอบสวนบุคคลภายนอกและนายวิเชียร ชิณวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฯในประเด็นที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ออส.ฟ้อง"เปรมชัย"ล่าสัตว์ป่าแค่ 6 ข้อหา

     อย่างไรก็ตาม คณะทำงานและอธิบดีอัยการภาค 7 พิจารณาแล้วเห็นว่าเอกสารที่ส่งมาประกอบคำร้องขอความเป็นธรรมทั้งการขอให้สอบพยานบุคคลเพิ่มเติมนั้นพิจารณาแล้วเห็นว่าพยานที่อ้างถึงมิใช่พยานที่เกี่ยวข้องในคดีเป็นเพียงผู้ที่แสดงความคิดเห็นผ่านสื่อมวลชนเท่านั้น ส่วนพยานที่เกี่ยวข้องตามประเด็นที่นายเปรมชัยร้องขอความเป็นธรรมนั้นได้มีการสอบสวนพยานดังกล่าวไว้แล้ว คำร้องขอความเป็นธรรมของนายเปรมชัยจึงมีลักษณะเป็นการประวิงคดี ทั้งข้อเท็จจริงตามสำนวนการสอบสวนได้ความครบถ้วนแล้วจึงไม่จำเป็นต้องสอบสวนเพิ่มเติมตามประเด็นที่นายเปรมชัยร้องขอความเป็นธรรม ทั้งนี้อัยการจะยื่นฟ้องนายเปรมชัยกับพวกต่อศาลจังหวัดทองผาภูมิพร้อมทั้งให้นายเปรมชัยและพวกชดใช้มูลค่าความเสียหายเป็นจำนวนเงิน 3,012,000 บาท

     เวลา 16.00 น. นายพนมฤทธิ์ หอมนิจสกุล อัยการจังหวัดทองผาภูมิ พร้อมด้วย นายกฤษฎา ชูโต รองอัยการจังหวัดทองผาภูมิ ได้ไปที่ศาลจังหวัดทองผาภูมิ ต.ท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ เพื่อส่งสำนวนให้กับเจ้าหน้าที่ศาลในการยื่นฟ้องดำเนินคดีนายเปรมชัยพร้อมพวกรวม 4 คน 

     นายพนมฤทธิ์ กล่าวว่า ขั้นตอนจากนี้ไปถ้าจำเลยรับสารภาพก็สามารถตัดสินได้ทันที แต่ถ้าปฏิเสธก็จะนัดสอบคำให้การคุ้มครองสิทธิ์นัดร้องเพื่อยื่นบัญชีพยานทั้งสองฝ่ายต่อไป ส่วนข้อหาอาวุธปืนและข้อหาเก็บหาของป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเป็นคดีที่มีโทษสูงสุดคือจำคุก 10 ปี ส่วนข้อหาอื่นๆก็ลดหลั่นกันไป เช่นจำคุก 5 ปี หรือ 4 ปี ซึ่งคดีทุกคดีจะฟ้องรวมกันทั้งหมด สำหรับสำนวนสั่งฟ้องที่นำมาส่งมอบให้กับเจ้าหน้าที่ศาลมีประมาณ 15 หน้า โดยผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ได้ตกเป็นจำเลยในคดีอาญา หมายเลขดำที่ 219/2561 ซึ่งคาดว่าศาลจังหวัดทองผาภูมิจะรอให้จำเลยทั้ง 4 มารายงานตัวในวันที่ 2 พฤษภาคมจากนั้นจะสอบคำให้การอีกครั้งหนึ่ง

ออส.ฟ้อง"เปรมชัย"ล่าสัตว์ป่าแค่ 6 ข้อหา

     ด้านพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. กล่าวว่า ที่ผ่านมาตำรวจรวบรวมพยานหลักฐานในคดีนี้อย่างเต็มที่ การสั่งไม่ฟ้องในข้อหาต่างๆก็เป็นดุลพินิจของทางอัยการสูงสุด ผู้สื่อข่าวถามว่า สังคมอาจตั้งคำถามว่าเป็นการเปิดช่องช่วยเหลือทางคดีหรือไม่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นดุลพินิจของอัยการ

     ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังมีคำชี้ขาดจาดอัยการสูงสุดในคดีแล้วปรากฎว่าในโลกโซเชียลมีเดียได้วิจารณ์ในเรื่องนี้เป็นจำนวนมาก ขณะที่ีนายศศิน เฉลิมลาภ ประธานมูลนิธิสืบ นาคะเสถียร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงเรื่องนี้ด้วยว่า“วันนี้เห็นว่าถ้าว่าอัยการภาค 7 จะสั่งฟ้องคดี นายเปรมชัย นายยงค์ นางนที และนายธานี“ล่าสัตว์ป่า”ซึ่งเป็นคดีสำคัญมากขนาดนี้ ผู้ต้องหาปฏิเสธ กระบวนการยุติธรรมก็ต้องสืบหาพยานหลักฐาน 3 เดือนสังฟ้องได้ ก็นับว่าไม่ช้า ผมเชื่อว่าคุณเปรมชัยมีโชคดีที่เกิดในตระกูลร่ำรวยผมกับคุณไม่เคยรู้จักกัน สารภาพว่าเพิ่งรู้ว่าอิตาเลี่ยนไทยมีคุณบริหารก็ตอนคุณเข้าป่าครั้งนี้แหล่ะ"

     ข้อความระบุอีกว่า “พฤติการณ์แห่งคดี พบข้อเท็จจริงว่าลักลอบนำอาวุธปืนซุกซ่อนไว้ในรถก่อนตั้งแต่แรกแล้ว ก่อนที่จะลักลอบเข้าไปตั้งแคมป์ในเส้นทางและบริเวณพื้นที่ที่ไม่อนุญาตให้เข้าไป ซึ่งเป็นบริเวณที่สงวนไว้สำหรับการอยู่อาศัยและหากินของสัตว์ป่าตามธรรมชาติ แสดงให้เห็นว่ามีเจตนาเข้าไปภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเพื่อล่าสัตว์ป่าตั้งแต่แรกแล้ว มิได้มีเจตนาเข้าไปเพียงเพื่อการพักผ่อน การที่มีซากสัตว์ป่าและร่องรอยกระสุนบนซากสัตว์ป่า เศษซากกระดูกสัตว์ป่าที่พบในลำห้วยรวมถึงการประกอบอาหารที่ทำมาจากเนื้อสัตว์ป่าที่ตรวจพบในบริเวณที่ตั้งแคมป์ล้วนเป็นพยานวัตถุสำคัญที่ชัดเจนยิ่งว่าได้ร่วมกันกระทำความผิดสำเร็จฐานล่าสัตว์ป่าคุ้มครองภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า”

     “วันนี้ฝ่ายราชการในกรมอุทยานฯเองก็ไม่ใช่จะเคลียร์ง่าย คนตั้งใจทำงานเขามีศักดิ์ศรีของเขา ผลตรวจสอบหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์จากชิ้นส่วนซากสัตว์ ทั้งเนื้อ กระดูก และหนัง ยืนยันว่าเป็นเสือตัวเดียวกัน พบอาวุธปืนมีร่องรอยกระสุนและดีเอ็นเอ บนมีด เขียง เพียงพอที่จะทำให้พนักงานอัยการเชื่อได้ว่าเสือดำถูกยิง ถูกล่าและชำแหละ และแม้จะอ้างว่าไม่ได้เป็นคนลงมือ แต่อาวุธปืน มีด เขียง รถยนต์ที่ใช้เข้าป่า เข้าข่ายลักษณะการแบ่งหน้าที่กันทำสามารถพิสูจน์ความผิด” และตอนท้ายข้อความระบุว่า เชื่อว่าจะถูกจ้องหาผลประโยชน์ หลอกให้ต่อสู้คดีไปเรื่อยๆ เสียทั้งเงินและมีโอกาสติดคุก และไม่มีโอกาสสารภาพสำนึกผิดปรับภาพลักษณ์กลับคืนมา

     วันเดียวกัน ที่สำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตภาค 7 เขตเทศบาลเมือง จ.สมุทรสงคราม นายเปรมชัยและนายยงค์ โดดเครือ คนขับรถของนายเปรมชัย ได้เดินทางมารับฟังคำสั่งอัยการกรณีข้อหาติดสินบนเจ้าพนักงาน ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมา โดยมี นายบุญธรรม วิริยะประสิทธิ์ รองอธิบดีอัยการ รักษาราชการแทนอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตภาค 7, นายอภิชาติ ต่อดำรงค์ อัยการพิเศษฝ่าย สำนักงานคดีอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 ภาค 7 และนายอภิชนษ์ รากบัว อัยการผู้เชี่ยวชาญ เจ้าของสำนวน ร่วมแถลงคำสั่งอัยการสั่งฟ้องนายเปรมชัย จำเลยที่ 1 และนายยงค์ จำเลยที่ 2 ในฐานความผิดร่วมกันให้สินบนเจ้าพนักงาน โดยใช้เวลาแถลงประมาณ 30 นาที

     ขณะที่นายเปรมชัยกล่าวเพียงสั้นๆ หลังทราบว่าอัยการสั่งฟ้องว่า “จะให้ทนายจัดการ และทำตามที่ทนายแนะนำ”

ออส.ฟ้อง"เปรมชัย"ล่าสัตว์ป่าแค่ 6 ข้อหา

     นายอภิชาติ กล่าวว่า อัยการพิจารณาหลักฐานทั้งพยานบุคคลและพยานวัตถุแล้ว เชื่อได้ว่าเพียงพอดำเนินคดีจึงมีคำสั่งฟ้องในวันนี้จากนี้ไปจะนำตัวนายเปรมชัยกับพวกไปส่งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 ดำเนินการต่อไป

     ด้านนายอภิชนษ์ กล่าวว่า คดีนี้เป็นคดีพยายามติดสินบนเจ้าหน้าที่ไม่ใช่คดีล่าเสือดำซึ่งต้องความเข้าใจให้ชัดเจนเนื่องจากเกรงว่าประชาชนจะเข้าใจผิด อย่างไรก็ตามอัยการ สำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตภาค 7 ได้พิจารณาหลักฐานอย่างรอบคอบทั้งพยานบุคคล เอกสาร รวมทั้งคลิปของนายยงค์ที่มีการพูดในลักษณะพยายามจะติดสินบนเจ้าหน้าที่เพื่อให้ปล่อยตัวนายเปรมชัยและพวก จึงใช้ดุลพินิจมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ซึ่งไม่สามารถให้รายละเอียดได้เนื่องจากจะเป็นข้อเท็จจริงที่ต้องนำสืบในชั้นศาลต่อไป ซึ่งศาลจะเป็นผู้มีอำนาจตั้งคำถามแสวงหาหลักฐานต่อไปและเชื่อว่าเมื่อเริ่มสืบพยานก็คงไม่ล่าช้า

     จากนั้น นายอภิชนษ์ได้พา นายเปรมชัยและนายยงค์ ไปฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 ฐานความผิดร่วมกันให้สินบนเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 144 และ 83 โดยนายเปรมชัยและนายยงค์ให้การปฏิเสธและว่ายังไม่มีทนายความและประสงค์จะแต่งตั้งทนายความสู้คดีเอง จึงขอเลื่อนคดีไปก่อน ศาลสอบโจทย์ไม่ค้านจึงเลื่อนนัดสอบคำให้การจำเลยทั้งสองอีกครั้งในวันที่ 28 พฤษภาคมนี้ 

     อย่างไรก็ตามจำเลยทั้ง 2 ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวด้วยเงินประกันคนละ 1 แสนบาท โดยมีเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล และภายหลังนายเปรมชัยกับพวกทำเรื่องขอประกันตัวเสร็จสิ้น ได้เดินทางกลับทันทีโดยไม่ให้สัมภาษณ์แต่อย่างใด

ฉบับ นสพ.คมชัดลึก

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ