ข่าว

ทนาย "จ่าโอ๋" ฟ้องแล้ว "2 สารวัตรพหล" หักเบี้ยเลี้ยงซื้อแอร์

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ทนาย "จ่าโอ๋" ฟ้องแล้ว "2 สารวัตรพหล" หักเบี้ยเลี้ยงซื้อแอร์ ยันไม่เอี่ยวส่วย เช้า 24 เม.ย. ลุ้นศาลนัดฟังคำสั่งรับ-ไม่รับไต่สวนมูลฟ้อง


 

          เช้า 24 เม.ย. ลุ้นศาลนัดฟังคำสั่งรับ-ไม่รับไต่สวนมูลฟ้อง "จ่าโอ๋ " รวมแชทไลน์-ภาพ ฟ้อง 2 ข้อหาหนัก ม.148,157 สั่งบังคับหักเบี้ยเลี้ยงชั้นประทวน 11 นายภารกิจตั้งด่าน ซื้อแอร์ติดห้องสืบสวน ทนาย ยันไร้ขัดแย้งส่วย จ่าโอ๋ยังไม่แจ้งเจรจา แค่บอกฟ้องคดีถึงที่สุด เป็นบรรทัดฐาน   

          ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เวลา 13.30 น. วันที่ 4 เม.ย. นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความได้รับมอบอำนาจจาก จ.ส.ต.เลอศักดิ์ นนท์ขุนทด หรือจ่าโอ๋ อดีต ผบ.หมู่ สส.สน.พหลโยธิน เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ต.ชลากร ปานแดง และ พ.ต.ต.เอกราช โอมาก อดีต สว.สส.สน.พหลโยธิน ที่ปัจจุบันถูกย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ที่ สน.ดอนเมือง และ สน.สายไหม เป็นจำเลยที่ 1-2 ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจข่มขืนใจหรือจูงใจให้ผู้อื่นมอบทรัพย์สินให้ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต และปฏิบัติหน้าที่มิชอบฯ หรือโดยทุจริตฯ ตามมาตรา 157 ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี หรือปรับ 2,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

                                     ทนาย "จ่าโอ๋" ฟ้องแล้ว "2 สารวัตรพหล" หักเบี้ยเลี้ยงซื้อแอร์

          โดยคำฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า ระหว่างวันที่ 28 ก.พ.- 5 มี.ค.61 เวลากลางวัน ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสองในฐานะผู้บังคับบัญชาของโจทก์ ได้ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบโดยกระทำต่อโจทก์เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์และร่วมกันกระทำโดยทุจริตทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ รวมทั้งตำรวจชั้นประทวนอีกหลายนาย โดยอาศัยอำนาจจากการดำรงตำแหน่ง สว.สืบสวน สน.พหลโยธิน ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของโจทก์และตำรวจชั้นประทวนในฝ่ายสืบสวน ของสน.พหลโยธิน ได้ร่วมกันออกคำสั่ง ข่มขู่บังคับให้หักเบี้ยเลี้ยงของโจทก์และผู้ใต้บังคับบัญชาคนอื่นจำนวน 11 คน โดยให้ไปถอนเงินเบี้ยเลี้ยงมาส่งมอบให้กับจำเลยทั้งสอง อันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบเกี่ยวกับการจ่ายเบี้ยเลี้ยงของทางราชการ โดยมีเจตนาเพื่อให้โจทก์และผู้ใต้บังคับบัญชาได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ ไม่ได้รับเงินเบี้ยเลี้ยงตามระเบียบของทางราชการ

 

          นอกจากนี้ จำเลยทั้งสอง ยังมีเจตนาร่วมกันที่จะนำเอาเงินเบี้ยเลี้ยงของโจทก์และผู้ใต้บังคับบัญชาไปซื้อเครื่องปรับอากาศเพื่อประโยชน์ของจำเลยทั้งสองและบุคคลอื่นซึ่งจำเลยทั้งสองไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะกระทำได้ โดยจำเลยทั้งสองร่วมกันมีคำสั่งให้โจทก์และตำรวจชั้นประทวนทุกนายได้รับเบี้ยเลี้ยงเท่ากันทุกนายเพียงคนละ 2,500 บาท ส่วนที่เกิน 2,500บาท ให้ไปถอนเงินมาส่งมอบให้กับ ร.ต.อ.สุนทร ไตรเวช และ ร.ต.อ.สัญญลักษ์ สังขะภักดี ซึ่งดำรงตำแหน่ง รอง สว.สืบสวน เพื่อรวบรวมเงินไปส่งมอบให้กับจำเลยทั้งสอง หากโจทก์และผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ทำตามจะถูกจำเลยทั้งสองกลั่นแกล้งหรือโดนโยกย้าย เมื่อโจทก์และตำรวจชั้นประทวน 11 คนได้รับทราบคำสั่ง ทุกคนต่างไม่ยินยอมและไม่พอใจ แต่โจทก์และตำรวจชั้นประทวนทุกนายจำยอมต้องไปถอนเงินของตนจากบัญชีของแต่ละคนมาส่งมอบให้กับจำเลยทั้งสองในจำนวนที่แตกต่างกันตั้งแต่ 140 บาท - 6,300 บาท โดยผลของการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของจำเลยทั้งสองได้ไป ซึ่งเงินสดจากโจทก์จำนวน 3,220 บาท และเมื่อรวมเงินทั้งหมดที่จำเลยทั้งสองได้ไปจากโจทก์และตำรวจชั้นประทวนรวม 11 คน รวมเป็นเงิน 25,300 บาท รายละเอียดปรากฏตามสำเนาเอกสารการสนทนาในกลุ่มไลน์ของฝ่ายสืบสวน

          โดยหลังจากที่ โจทก์และตำรวจชั้นประทวนรวม 11 นาย ถูกบังคับให้หักเบี้ยเลี้ยงตามฟ้อง โจทก์และตำรวจชั้นประทวนทั้ง 11 นาย ได้รับความเสียหาย ตำรวจฝ่ายสืบสวนชั้นประทวนทั้งหมดจึงมอบหมายให้โจทก์ไปดำเนินคดีกับจำเลยทั้งสอง โดยเมื่อวันที่ 27 มี.ค.61 โจทก์ จึงร้องทุกกข์ต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.) ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริตอันเป็นความผิดต่อตำแหน่งของเจ้าพนักงาน และกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ซึ่งเป็นต้นสังกัดของโจทก์ แต่ต่อมาเมื่อวันที่ 29 มี.ค.61 เวลากลางคืน โจทก์ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับคดีนี้ ต่อมา บช.น.ได้แถลงข่าวว่าจะสอบสวนทางวินัยกับโจทก์ การกระทำดังกล่าวของจำเลยทั้งสอง จึงเป็นการร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ และเป็นการแสวงหาประโยชน์จากเงินของโจทก์และผู้ใต้บังคับบัญชา โดยมีเจตนาทุจริตเพื่อนำเงินไปซื้อเครื่องปรับอากาศเพื่อประโยชน์ของจำเลยทั้งสองและบุคคลอื่นโดยไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่กระทำได้ และเป็นการข่มขืนใจโจทก์ให้ส่งมอบทรัพย์สินให้กับจำเลยทั้งสอง การกระทำของจำเลยทั้งสอง ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของทางราชการแต่อย่างใดเพราะหากจะมีการซื้อเครื่องปรับอากาศมาติดในห้องทำงานหรือห้องสืบสวนจะต้องผ่านกระบวนการจัดซื้อ จัดจ้างของทางราชการ ไม่ใช่มาบีบบังคับโจทก์ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาให้นำเงินเบี้ยเลี้ยงมาชำระค่าเครื่องปรับอากาศ อันเป็นการสร้างความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสกับโจทก์และตำรวจชั้นประทวน การกระทำของจำเลยทั้งสองมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายเป็นพิเศษแก่โจทก์และผู้ใต้บังคับบัญชา เหตุเกิดที่ แขวงจอมพล เขตจตุจักร กทม.

           ทั้งนี้ นายเดชา กล่าวถึงเหตุผลที่มายื่นฟ้องคดีวันนี้ว่า เพราะเป็นการออกคำสั่งบังคับให้ผู้ใต้บังคับบัญชาหักเบี้ยเลี้ยงโดยที่เขาไม่ยินยอม ซึ่งมูลเหตุเป็นเรื่องเบี้ยเลี้ยงอย่างเดียว ไม่เกี่ยวกับความขัดแย้งอื่นๆ โดยที่ผ่านมาทั้งสองฝ่ายก็เคยมีการพูดคุยกันแต่จ่าโอ๋ต้องการทำให้เป็นคดีตัวอย่าง ส่วนที่ขณะนี้ จ่าโอ๋ ถูกโยกย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ยังท้องที่อื่น ก็เป็นคำสั่งที่เพิ่งออกมาซึ่งเจ้าตัวก็ไม่คิดว่าจะทำอย่างไรเกี่ยวกับคำสั่งที่ถูกโยกย้าย ส่วนการใช้สิทธิ์ฟ้องคดีที่ศาลวันนี้ ก็ทำในฐานะผู้เสียหาย  ส่วนที่มีการแจ้งความไว้กับ ป.ป.ท.ด้วยนั้น ก็สามารถดำเนินการควบคู่ด้วยกันได้ สำหรับพยานหลักฐานเท่าที่ทราบในส่วนของ ป.ป.ท.ยังไม่ได้เริ่มต้นสอบสวนอะไร โดยเราก็มั่นใจใน ป.ป.ท. และให้เป็นคดีตัวอย่างเป็นบรรทัดฐานในการปฏิบัติกับผู้ใต้บังคับบัญชา อย่างไรก็ตามสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยก็ไม่ได้มีความขัดแย้งกันที่ผ่านมาก็ทำงานกันด้วยดี แต่ที่ต้องมาฟ้องเพราะอีกฝ่ายหนึ่งรู้สึกว่าถูกกระทำเกินไปที่มาหักเบี้ยเลี้ยง ซึ่งเบี้ยเลี้ยงวันละ 200 บาทก็ยังมาถูกหักไป

          เมื่อถามถึงพยานหลักฐานที่จะชี้ให้เห็นถึงการปฏิบัติหน้าที่มิชอบมีอะไรบ้าง นายเดชา กล่าวว่า ในการออกคำสั่งจะให้จ่ายค่าซ่อมแอร์ ทำไม่ได้อยู่แล้ว เพราะโดยหลักการ หากจะซ่อมหรือแอร์ใหม่ก็ต้องเสนองบประมาณจัดซื้อจัดจ้างตามกระบวนการ ไม่ใช่มาหักเบี้ยเลี้ยงของลูกน้องไปจ่ายเป็นค่าแอร์ แต่การฟ้องวันนี้เราไม่ได้มีคำขอให้คืนเงินที่ถูกหักไป เพราะการฟ้องต้องการให้ศาลลงโทษอย่างเดียวซึ่งจะดำเนินการถึงที่สุดตามขั้นตอน  

          " คดีนี้เท่าที่ฟังจากจ่าโอ๋มาและพยานหลักฐานเป็นลักษณะของการบังคับ โดยหากถึงเวลาที่จะต้องมีการไต่สวนจ่าโอ๋ ก็ได้มีการพูดคุยกันแล้ว ตำรวจทั้ง 11 คน ทุกคนก็จะมายืนยันเกี่ยวกับการกระทำนั้น ส่วนพยานหลักฐานที่ยื่นวันนี้ก็มีเยอะแยะทั้งข้อความแชทไลน์ ภาพและพยานบุคคลก็มีพร้อมทุกอย่าง แต่ไม่มีคลิปเสียง" ทนายเดชาระบุ 

          นายเดชา ยังกล่าวด้วยว่า หลักฐานที่จะยืนยันได้ก็คือคำยืนยันของจ่าโอ๋ว่าเขาไม่ยินยอม เมื่อไม่ยินยอมก็ถือว่าผิดแล้ว  และถือว่าความผิดนั้นสำเร็จแล้ว และแม้นว่าจะคืนเงินก็ไม่ทำให้ความผิดที่สำเร็จแล้ว จะไม่เป็นความผิดได้  โดยก่อนหน้านี้เงินเบี้ยเลี้ยงทั้งหมดก็เข้าบัญชีของแต่ละคนแล้ว แต่บังคับให้ไปถอนเงินแล้วเอามาให้ ซึ่งจ่าโอ๋บอกว่าหากไม่ให้ก็จะเดือดร้อน และเท่าที่ถามจากจ่าโอ๋ ก็มีทั้งคำสั่งที่เป็นลายลักษณ์อักษรทางแชทไลน์และมีทั้งคำพูด แต่ไม่มีที่เป็นเอกสารราชการซึ่งคำสั่งทางแชทไลน์ก็มีผลและถือว่าเป็นพยานหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ที่พิสูจน์ได้ ส่วนจะมีการพูดคุยเจรจาต่อไป หลักจากฟ้องคดีจนถึงขั้นถอนฟ้องหรือไม่ อันนี้ต้องแล้วแต่คู่ความ ซึ่งการถอนฟ้องหากจะทำก็ทำได้ ถ้าไม่กระทบกับรัฐหรือประโยชน์สาธารณะ ซึ่งทุกอย่างต้องขึ้นกับจ่าโอ๋ว่าจะทำอย่างไรก็ผู้บังคับบัญชา อย่างไรก็ตาม เท่าที่ได้รับฟังมา ยืนยันว่า ไม่ได้มีปัญหาส่วนตัวอะไรกัน และไม่ใช่เรื่องส่วย โดยจ่าโอ๋ก็ได้รับคำยืนยันจากเพื่อนตำรวจอีก 10 นาย ว่าจะไม่เท(ทิ้งกัน)

          ทั้งนี้ภายหลังยื่นฟ้องแล้ว นายเดชา เปิดเผยว่า ศาลรับไว้เป็นคดีดำ อท.81/2561 โดยศาลนัดฟังคำสั่งวันที่ 24 เม.ย. นี้ เวลา 09.00 น. เพื่อจะมีคำสั่งว่าจะรับคดีไว้ไต่สวนมูลฟ้องหรือไม่รับฟ้อง หรือยังต้องแก้ไขคำฟ้องเพิ่มเติม

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ