ข่าว

สั่งตร.สอบเพิ่ม “เปรมชัย” ล่าเสือ

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

อัยการสอบเพิ่มหลายประเด็นคดีล่าเสือดำให้เสร็จ26มี.ค.ฝากขังครั้งสุดท้าย“เปรมชัย”ปฏิเสธข้อหาติดสินบน คนรถอ้างแค่พูดเล่นส่วน“ศรีวราห์” สั่งเร่งสำนวน 3 ข้อหา 

 

          คืบหน้าคดีนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหาร บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) พร้อมพวกรวม 4 ราย ลักลอบล่าสัตว์ป่าในเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฝั่งตะวันตก อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ถูกดำเนินคดีรวม 12 ข้อหา ความผิดตามพ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ความผิดมีอาวุธปืนและครอบครองงาช้างผิดกฎหมายและพยายามติดสินบนเจ้าพนักงานตามที่ข่าวเสนอนั้น

          ล่าสุดเมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 20 มีนาคม ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนแจ้งวัฒนะนางสมศรี วัฒนไพศาล อธิบดีอัยการภาค 7 และนายสมเจตน์ อำนวยสวัสดิ์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 2 ภาค 7 กาญจนบุรี หัวหน้าคณะทำงานอัยการคดีล่าเสือดำ พร้อมด้วยคณะรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ประกอบด้วย นายธรัมพ์ ชาลีจันทร์ นายประยุทธ เพชรคุณ และนายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง ร่วมกันแถลงความคืบหน้าคดีล่าเสือดำที่นายเปรมชัย นายยงค์ โดดเครือ นางนที เรียมแสน และนายธานี ทุมมาศ เป็นผู้ต้องหาที่ 1-4 ในข้อหาร่วมกันล่าสัตว์ป่าในเขตอุทยาน และอื่นๆ รวม 10 ข้อหา ซึ่งพนักงานสอบสวนมีความเห็นควรไม่ฟ้อง 1 ข้อหาร่วมกันทารุณกรรมสัตว์

 

สั่งตร.สอบเพิ่ม “เปรมชัย” ล่าเสือ

 

          นายธรัมพ์ กล่าวว่า หลังจากอัยการพิจารณาสำนวนที่พนักงานสอบสวนส่งมา 857 หน้าแล้วนั้น คณะทำงานอัยการได้มีความเห็นสั่งสอบสวนเพิ่มเติมอีก 3-4 ประเด็นเพื่อให้การสอบสวนสมบูรณ์และสิ้นกระแสความ โดยอัยการมีหนังสือแจ้งให้พนักงานสอบสวนทราบเพื่อดำเนินการแล้ว พร้อมกำชับให้ส่งผลการสอบสวนเพิ่มเติมกลับมาให้อัยการภายในวันที่ 26 มีนาคม ซึ่งจะเป็นช่วงครบกำหนดฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 4 วันที่ 25 มีนาคม และแม้ว่าคดียังมีระยะเวลาฝากขังได้อีก 3 ผัด ประมาณกว่า 30 วัน แต่เราก็กำชับให้พนักงานสอบสวนดำเนินการโดยรวดเร็ว ยืนยันว่าการสั่งคดีนี้ก็เหมือนการสั่งคดีปกติทั่วไป

          ด้านนางสมศรี อธิบดีอัยการภาค 7 กล่าวว่า คดีนี้คณะทำงานได้พิจารณาโดยรอบคอบแล้วเห็นว่ามีบางประเด็นที่พนักงานสอบสวนได้สอบสวนมาแล้วแต่ยังไม่สิ้นกระแสความ ซึ่งอัยการเห็นว่าเป็นประเด็นสำคัญจึงมีคำสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติมหลายประเด็นเกี่ยวกับพฤติการณ์และผลการตรวจพิสูจน์บางเรื่องที่พนักงานสอบสวนยังไม่ส่งมาประกอบสำนวน โดยอัยการก็แจ้งให้พนักงานสอบสวนส่งเข้ามา ทั้งนี้อัยการไม่ขอแถลงลงรายละเอียดว่าเป็นประเด็นใดบ้าง เกี่ยวกับข้อหาใด เพราะจะกระทบต่อรูปคดี และการตั้งประเด็นสู้ของผู้ต้องหา

 

สั่งตร.สอบเพิ่ม “เปรมชัย” ล่าเสือ

 

          “ถ้าพนักงานสอบสวนสอบสวนเพิ่มเติมแล้วตามประเด็นที่พนักงานอัยการสั่งไปแล้วและก็ไม่มีประเด็นใดเพิ่มเติมจากผลการสอบสวนเพิ่มเติมอีก หรือนอกเหนือจากสำนวนที่มีอยู่ในมือแล้ว เราคงสั่งคดีได้ทันภายในกำหนด เพราะคณะทำงานของอัยการอ่านสำนวนทั้งหมดแล้วกว่า 800 หน้า จึงเป็นที่มาของการสั่งสอบสวนเพิ่มเติม” นางสมศรีกล่าว และว่า การสั่งสอบสวนเพิ่มเติมเราได้ดูโดยรอบคอบ โดยเราประชุมกันเมื่อวาน (19 มี.ค.) ก่อนมีคำสั่ง คณะทำงานก็มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งพิจารณาแล้วว่าหากดำเนินการก็จะครบถ้วน เว้นแต่ถ้าพนักงานสอบสวนไปสอบสวนเพิ่มเติมมาแล้วมีประเด็นใหม่เกิดขึ้นมาที่ไม่ได้อยู่ในสำนวนการสอบสวนก็ยังไม่จบในทันที แต่ตอนนี้เท่าที่ดูสำนวน 857 หน้า เราเห็นว่ามีส่วนที่ต้องเพิ่มเติมเพื่อให้สำนวนครบถ้วนและสิ้นกระแสความ

          อย่างไรก็ตามในการติดตามผลการสอบสวนเพิ่มเติมเราได้กำชับกับพนักงานสอบสวนแล้วว่าให้ส่งรายงานโดยเร็วภายใน 26 มีนาคม แต่หากดำเนินการไม่เสร็จสิ้นก็ให้รายงานผลทุก 7 วัน ซึ่งอัยการเราทำงานกันทุกวันทั้งเสาร์อาทิตย์จะคอยติดตามคดีไม่ให้หยุดนิ่ง เพราะทั้งสื่อมวลชนและประชาชนเฝ้าคอยว่าอัยการจะมีคำสั่งคดีเมื่อใด ขณะเดียวกันก็ได้รายงานให้นายเข็มชัย ชุติวงศ์ อัยการสูงสุดทราบถึงความคืบหน้าต่างๆ ด้วย

 

สั่งตร.สอบเพิ่ม “เปรมชัย” ล่าเสือ

 

          อธิบดีอัยการภาค 7 ยังกล่าวอีกว่า ในส่วนของผู้ต้องหาจนถึงวันนี้ยังไม่มีรายใดยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมเข้ามา แต่หากยื่นเข้ามาก็ถือเป็นสิทธิ์ของผู้ต้องหา ซึ่งอัยการพร้อมทำงานทุกคดีอยู่แล้ว และจะต้องพิจารณาว่าเนื้อหาการร้องขอความเป็นธรรมมีอะไรบ้าง เป็นประเด็นที่มีอยู่ในสำนวนหรือไม่ หรือเป็นการร้องขอความเป็นธรรมเข้ามาโดยไม่มีประเด็นอะไรที่จะต้องให้สอบสวนเพิ่มเติมเลย ซึ่งบางครั้งการร้องขอความเป็นธรรมเข้ามาก็ไม่มีประเด็นความจำเป็นอะไรก็ทำให้การทำงานของอัยการล่าช้า สำหรับคดีนี้ไม่ใช่คดีใหญ่สำหรับพนักงานอัยการ เพราะคดีลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นทุกวัน คดีโทษไม่สูง แต่บังเอิญเกี่ยวกับฐานะทางสังคมของผู้ต้องหาเป็นผู้มีชื่อเสียงและประชาชนให้ความสนใจ

          "ถามว่ากดดันหรือไม่ ไม่กดดันเพราะเราทำงานแบบนี้ทุกวัน เหมือนคดีลักวิ่งชิงปล้นฆ่า คดีหนีภาษี หรือคดีอื่นที่สำคัญก็มีมากมาย และการตั้งคณะทำงานไม่ได้มีเฉพาะคดีของนายเปรมชัย คดีที่สำคัญอื่นก็มี ที่ตั้งก็เพื่อให้เกิดความรอบคอบ โดยเราจะมีผู้กลั่นกรองลักษณะของคณะทำงานอย่างน้อย 3 คน จึงไม่ต้องกังวล เราจะทำคดีนี้ให้ดีที่สุด อัยการสูงสุดเคยโทรมาเรื่องราชการ เราก็เรียนท่านไปว่าตั้งคณะทำงานแล้ว และเมื่อมีคำสั่งจะตอบสังคมให้ได้ว่ามีคำสั่งอย่างไร ส่วนการที่สังคมลงโทษก็เป็นโทษทางสังคมไป แต่เรื่องข้อกฎหมายอัยการต้องดูตามพยานหลักฐาน การสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้องอยู่ที่พยานหลักฐาน ประชาชนที่ติดตามฟังข่าว ดูข่าว หรือการให้สัมภาษณ์ของผู้ที่เกี่ยวข้องไปแล้วอาจตัดสินไปแล้ว แต่ในสำนวนเป็นอย่างไรเราพิจารณาตามนั้น ถามว่าจะฝืนกระแสสังคมหรือไม่ ตอบได้ว่าจะพิจารณาตามพยานหลักฐานที่พนักงานสอบสวนรวบรวมมา” อธิบดีอัยการภาค 7 กล่าวชี้แจงกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์คดีในสื่อโซเชียล

 

สั่งตร.สอบเพิ่ม “เปรมชัย” ล่าเสือ

 

 

          เมื่อถามถึงกรณีที่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. พูดถึงการสั่งไม่ฟ้องข้อหาทารุณกรรมสัตว์ นายประยุทธ รองโฆษก กล่าวอธิบายว่า เป็นข้อกฎหมาย เป็นรายละเอียดทางคดี แต่ถ้าไปดูคำนิยามในกฎหมายจะบอกว่า สัตว์ที่จะเข้าข่ายการทารุณกรรมสัตว์หมายถึงสัตว์เลี้ยง อย่างไรก็ตามในส่วนของคดีนี้ อัยการยังไม่ได้ลงในรายละเอียด

          นายประยุทธ ยังกล่าวถึงขั้นตอนการสั่งคดีของอัยการด้วยว่า เมื่อพนักงานอัยการได้รับสำนวนคดีจากพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 13 มีนาคม ที่ผ่านมา อธิบดีอัยการภาค 7 ก็ได้ตั้งคณะทำงานที่มีนายสมเจตน์เป็นหัวหน้าคณะทำงาน เพื่อดูแลขั้นตอนการตรวจสำนวน เรียกว่าอัยการตรวจสำนวน 857 หน้า จนสิ้นกระแสความ แต่ก็มีข้อที่จะต้องสั่งสอบสวนเพิ่มเติมอยู่ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาให้อำนาจอัยการดำเนินการได้ในขณะที่ยังไม่มีความเห็นในการสั่งคดีว่าผิดถูกอย่างไร เพื่อให้สำนวนที่รวบรวมมีความสมบูรณ์ จึงเป็นเรื่องที่กฎหมายออกแบบไว้ ไม่ใช่เป็นเรื่องผิดพลาดบกพร่องของหน่วยงานไหน เพียงแต่ว่าจะทำอย่างไรให้สำนวนละเอียดรอบคอบรัดกุมที่สุด ให้ได้พยานหลักฐานครบถ้วนที่สุด และหากการสอบสวนเพิ่มเติมที่ส่งกลับมาไม่มีประเด็นปลีกย่อยแปลกแยกอีก คณะทำงานจึงจะมาชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานว่ามีความเห็นอย่างไรเสนอต่ออธิบดีอัยการ

 

สั่งตร.สอบเพิ่ม “เปรมชัย” ล่าเสือ

 

          “ดังนั้นขณะนี้จึงยังตอบไม่ได้ว่าจะสั่งฟ้องไม่ฟ้องอย่างไร เพราะเป็นการก้าวล่วงในขั้นตอนที่ยังดำเนินการไม่ถึง จึงอยากให้สังคมเข้าใจถึงขั้นตอนดังกล่าวด้วย และหากมีคำสั่งคดีแล้วก็จะแถลงให้ทราบต่อไป” นายประยุทธกล่าว

          ขณะที่นายสมเจตน์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 2 ภาค 7 กาญจนบุรี กล่าวย้ำถึงประเด็นการสอบสวนเพิ่มเติมว่า คดีนี้ถือเป็นคดีปกติธรรมดาคดีหนึ่ง เราคำนึงถึงหน้าที่ของเราในฐานะที่เป็นผู้นำคดีเข้าสู่ศาลที่จะต้องนำพยานหลักฐานข้อเท็จจริงไปแสดงให้ศาลรับฟัง ก็ต้องดูว่าพยานหลักฐานข้อเท็จจริงประกอบข้อกฎหมายแล้วจะทำให้เห็นว่าคนที่เราฟ้องไปทำผิดกฎหมายหรือไม่ ดังนั้นวิธีการทำงานของอัยการจึงอาจแตกต่างกับพนักงานสอบสวนที่จะต้องละเอียดทุกอย่าง ว่าจะแสดงพยานหลักฐานอย่างไรแล้วศาลจะฟังและคิดเหมือนเรา

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับทั้ง 10 ข้อหาที่พนักงานสอบสวนสรุปสำนวนส่งให้อัยการพิจารณา มีดังนี้ 1.ร่วมกันล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ 2.ร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ 3.ร่วมกันพยายามล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ 4.ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากของสัตว์ป่าคุ้มครองโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ 5.ร่วมกันช่วยซ่อนเร้น ช่วยพาเอาไปเสียหรือรับไว้ด้วยประการใดๆ ซึ่งซากของสัตว์ป่าอันได้มาโดยการกระทำผิดกฎหมาย 6.ร่วมกันนำเครื่องมือสำหรับใช้ในการล่าสัตว์ป่าหรือจับสัตว์หรืออาวุธใดๆ เข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ 7.ร่วมกันเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ 8.ร่วมกันเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ 9.ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต และโดยไม่มีเหตุอันสมควร 10.ร่วมกันกระทำการอันเป็นการทารุณกรรมสัตว์ โดยไม่มีเหตุอันสมควร ในข้อนี้พนักงานสอบสวนมีความเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง

 

สั่งตร.สอบเพิ่ม “เปรมชัย” ล่าเสือ

 

          สำหรับคณะทำงานที่ร่วมกันพิจาณาดำเนินคดีนี้ ประกอบด้วย นายสมเจตน์ อำนวยสวัสดิ์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 2 ภาค 7 เป็นหัวหน้าคณะทำงาน นายทนง ตะภา อัยการจังหวัดทองผาภูมิ คณะทำงาน พ.ต.ท.อำนาจ สุจริตชัย รองอัยการจังหวัดกาญจนบุรี คณะทำงาน และนายกฤษฎา ชูโต รองอัยการจังหวัดทองผาภูมิ คณะทำงานและเลขานุการ

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 09.00 น. ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) นายเปรมชัย และนายยงค์ โดดเครือ คนขับรถ พร้อมกับนายวิทูล แย้มพราย ทนายความของนายเปรมชัย ได้เข้าพบ พล.ต.ต.กมล เหรียญราชา ผบก.ปปป. เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาร่วมกันติดสินบนเจ้าพนักงาน โดยนายเปรมชัยมีสีหน้าที่ไม่วิตกวังวล ขณะเดียวกัน พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร. เดินทางมายังบก.ปปป. เพื่อตรวจความเรียบร้อยสมบูรณ์ของสำนวนและสอบปากคำผู้ต้องหาด้วย

          พล.ต.อ.ศรีวราห์ เปิดเผยภายหลังสอบปากคำว่า เบื้องต้นนายเปรมชัยและนายยงค์ให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา และขอให้การในชั้นศาลเท่านั้น ส่วนเรื่องปืนที่พบในบ้านนายเปรมชัยเท่าที่ผมตรวจสอบพบส่วนใหญ่เป็นชื่อของนายเปรมชัยจะมีที่ไม่ใช่แค่ไม่กี่กระบอก เป็นชื่อของบิดานายเปรมชัย เป็นปืนมรดก ส่วนกรณีงาช้างได้ตรวจสอบไปทางไซเตสแล้วไม่พบงานช้างดังกล่าวขึ้นทะเบียนกับไซเตส แสดงว่าผิด 100% ขณะนี้รอหนังสือแจ้งการตรวจสอบอย่างเป็นทางการจากรมศุลกากร ส่วนกรณีพนักงานอัยการจะให้สอบเพิ่มนั้นรอหนังสือแจ้งอย่างเป็นทางการจะได้ให้เจ้าหน้าที่สอบเพิ่ม

 

สั่งตร.สอบเพิ่ม “เปรมชัย” ล่าเสือ

 

          สำหรับกรณีที่เจ้าหน้าที่อัยการภาค 7 ได้แถลงสำนวนของนายเปรมชัยยังไม่สิ้นกระแสนั้น น่าจะเป็นประเด็นเรื่องในบันทึกการจับกุมเป็นเนื้อเก้ง แต่ผลตรวจเป็นเนื้อหมู ซึ่งจะต้องแจ้งพฤติการณ์แห่งคดีให้แก่ผู้ต้องหาทั้ง 4 รายทราบ ประเด็นที่ 2 พนักงานอัยการทวงผลการตรวจพิสูจน์ในส่วนที่เหลือ ซึ่งเราได้รับจากกรมอุทยานมาบางส่วนแล้ว เหลืออีกประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ จะรีบส่งให้อัยการ ส่วนสำนวน พ.ร.บ.อาวุธปืน ครอบครองงาช้างและติดสินบนได้สั่งกำชับไปแล้ว น่าจะเสร็จก่อนวันที่ 30 มีนาคมเพื่อส่งให้บก.ปทส.​ เป็นผู้รวบรวมส่งให้พนักงานอัยการ

          ด้านพล.ต.ต.กมล กล่าวภายหลังสอบปากคำนานกว่า 2 ชั่วโมงว่า จากการพูดคุยนอกรอบพบว่ายังมีความคลาดเคลื่อนในบางประเด็น คือเรื่องเวลาที่บันทึกในคลิปเสียงซึ่งจะเป็นตัวเชื่อมโยงในการกระทำความผิดได้ แต่นายยงค์ไม่ได้ขอให้บันทึกในคำให้การ แต่บอกเพียงว่าเสียงในคลิปเป็นเสียงของตนจริง โดยหลักฐานสำคัญอยู่ที่ตัวบุคคลผู้กล่าวหาและพยานสำคัญที่จะยืนยันความชัดเจนเรื่องคำพูดและเวลา ซึ่งเป็นตัวเชื่อมโยงกันในการกระทำความผิด ทั้งนี้จากการสอบสวนเบื้องต้นมีความชัดเจนในการดำเนินคดีและใช้ดุลพินิจในการสั่งคดี ส่วนฝั่งผู้ต้องหาได้มีข้อโต้แย้งในเรื่องระยะเวลา โดยมีตัวละครเพิ่มอีก 1 คน เป็นอดีตข้าราชการกรมอุทยาน ซึ่งเป็นคนที่นายเปรมชัยพูดถึงเป็นคนเปิดประเด็นในการเข้าไป อย่างไรก็ตามจะต้องพิจารณาหารือว่าจะต้องเชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องมาสอบปากคำเพิ่มเติมหรือไม่ หลังจากที่นายเปรมชัยอ้างว่าได้ติดต่อให้มาพูดคุยและเคลียร์เรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งบุคคลดังกล่าวเป็นผู้มีส่วนที่ทำให้นายเปรมชัยได้เข้าไปในป่า โดยจะต้องพิจารณาว่าหากเชิญเข้ามาให้ปากคำจะมีประโยชน์ในทางคดีมากน้อยเพียงใด

 

สั่งตร.สอบเพิ่ม “เปรมชัย” ล่าเสือ

 

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับนายเปรมชัย หลังเข้ารับทราบข้อหาและสอบปากคำเสร็จได้เดินทางกลับทันทีโดยไม่ตอบคำถามสื่อมวลชน ส่วนนายยงค์หลังรับทราบข้อกล่าวหาและสอบปากคำก็เดินทางกลับเช่นกัน โดยผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามคลิปเสียงเป็นเสียงของนายยงค์หรือไม่ นายยงค์ ตอบว่า คล้ายเสียงของตน และอ้างว่าเป็นแค่การพูดเล่นไม่ได้พยายามที่จะติดสินบน ซึ่งได้ให้รายละเอียดแก่พนักงานสอบสวนเรื่องคำให้การในการเข้ารับทราบข้อกล่าวหาวันนี้แล้ว นอกจากนี้นายยงค์ระบุอีกว่า มีรายละเอียดของข้อกล่าวหาในเรื่องของเวลาไม่ตรงกับคลิปเสียง

          วันเดียวกันเวลา 09.30 น. ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) นางคณิตา กรรณสูต ภรรยานายเปรมชัย และน.ส.วันดี สมภูมิ ผู้รับรองงาช้าง ได้เดินทางมาเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกครั้งที่ 2 ข้อหาร่วมกันมีซากสัตว์ป่าคุ้มครอง (งาช้างแอฟริกา) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยนางคณิตาสวมแว่นดำและใส่หมวกแต่งกายในชุดธรรมดา ทั้งนี้มี พล.ต.ต.ปัญญา ปิ่นสุข ผบก.ปทส. ร่วมสอบปากคำ และพล.ต.อ.ศรีวราห์ ได้เดินทางมาร่วมตรวจสำนวนและสอบปากคำด้วยเช่นกัน

          พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวภายหลังสอบปากคำว่า จากการสอบสวน นางคณิตาและน.ส.วันดี ให้การปฏิเสธว่าไม่ทราบว่างาช้างดังกล่าวเป็นงาช้างแอฟริกา ซึ่งเราได้เชิญเจ้าหน้าที่จากกรมอุทยานมาชี้แจงให้ผู้ต้องหาทราบถึงรายละเอียด ถ้าจดแจ้งตาม พ.ร.บ.งาช้างต้องเป็นงาไทย ส่วนงาช้างแอฟริกาไม่สามารถจดแจ้งได้ สำหรับการที่นางคณิตา ให้การว่างาช้างดังกล่าวเป็นงาช้างที่ได้รับเป็นมรดกตกทอดมาก็สามารถอ้างได้แต่ พ.ร.บ.ศุลกากร มีตั้งแต่ปี 2467 เมื่อกรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืชยืนยันว่าไม่ใช่งาช้างไทยก็ต้องเป็นงาช้างจากต่างประเทศเป็นสินค้าประเภทงาช้างนำเข้าแต่ไม่พบการสำแดงถึงที่มาที่ชัดเจนเข้าข่ายความผิดพ.ร.บ.ศุลกากร 100% แต่ที่เขาต่อสู้ให้การปฏิเสธนั้นเป็นเรื่องเจตนาเข้าใจว่าเป็นงาช้างไทย โดยความผิด พ.ร.บ.ศุลกากรต้องให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรมาดูว่าหลักฐานพวกนี้ผู้ต้องหาได้แจ้งนำเข้าหรือไม่ และต้องตรวจสอบต่อไปว่าที่ผู้ต้องหาพาดพิงไปถึงบุคคลอื่นที่ให้งาช้างมานั้นมีการแจ้งนำเข้าหรือไม่ ถ้าไม่มีก็ต้องแจ้งความเอาผิดเพิ่มเติมกับนายเปรมชัย นางคณิตา และน.ส.วันดี ในความผิดพ.ร.บ.ศุลกากร ส่วนที่นางคณิตาอ้างว่าได้รับจากญาติมานั้นได้ตรวจสอบเบื้องต้นแล้วว่าเจ้าของคนแรกได้เสียชีวิตไปแล้ว และน่าจะขาดอายุความ เพราะมอบให้ตั้งแต่ปี 2524

 

สั่งตร.สอบเพิ่ม “เปรมชัย” ล่าเสือ

 

          ด้านนายบัญญัต สายอรุณ ผอ.กองคุ้มครองสัตว์ป่า กรมอุทยานฯ เปิดเผยการจดแจ้งครอบครองงาช้างของนางคณิตา ว่า เมื่อปี 2558 ได้จดแจ้งโดยถ่ายภาพถ่ายและวัดขนาดมา เป็นเพียงการจดแจ้งครอบครองแต่ยังไม่ได้ตรวจสอบไม่ได้ดำเนินการออกกษัตริย์การครอบครองให้แต่อย่างใด

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากสอบปากคำเสร็จเจ้าหน้าที่ได้นำตัวนางคณิตตาและน.ส.วันดี ส่งฟ้องฝากขังที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก โดยไม่คัดค้านการประกันตัว เพราะผู้ต้องหาทั้ง 2 เข้าพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียกไม่มีเจตนาหลบหนีแต่อย่างใด

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ