ทลายบ่อน ‘นวย ดอนเมือง’ รวบ 69 นักพนัน

 

               22 ก.พ. 61  เมื่อเวลา 16.00 น.  พล.ต.ต.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.นพศิลป์ พลูสวัสดิ์ รอง ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผกก.กก.ดส.บช.น. พ.ต.ต.นพรัตน์ บุญถนอม สว.กก.ดส.บช.น. พ.ต.ต.เนติ รุ่งฟ้าแสงอรุณ สว.กก.ดส.บช.น. ตำรวจ สน.ดอนเมือง และเจ้าหน้าที่ทหารร้อย รส.ศูนย์ต่อสู้ป้องกันภัยทางอากาศ ทบ. รวมกว่า 50 นาย นำหมายค้นศาลแขวงดอนเมือง เลขที่ 10/2561 และ 11/2561 ลงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ เข้าจับกุมบ่อนการพนันประเภทไฮโล กำถั่ว เสือมังกร บริเวณห้องใกล้กับถนนสรงประภา ต่อเนื่องสนามฟุตซอล แขวงและเขตดอนเมือง กรุงเทพฯ ผลการปฏิบัติสามารถจับกุมนักพนันได้จำนวน 69 ราย พร้อมของกลางจำนวนมาก อาทิ อุปกรณ์เล่นการพนันทั้งถั่วหยิบ เสือมังกร โพยพนันฟุตบอลต่างประเทศ โทรศัพท์มือถือ เงินสดประมาณ 10,000 บาท โดยได้แบ่งกำลังเข้าตรวจค้น 3 จุด

 

 

               จุดแรก อยู่บริเวณริมถนนสรงประภา ด้านหลังร้านเฟอร์นิเจอร์ ภายในถูกแบ่งเป็นห้องขนาดเล็กสามารถจับกุมนักพนันที่กำลังเล่นไฮโลได้จำนวน 14 ราย พร้อมของกลางอุปกรณ์ที่ใช้ในการเล่น นอกจากนี้ยังพบ นายอำนวย เกียรติดอนเมือง อายุ 60 ปี หรือ “นวย ดอนเมือง” แสดงตัวเป็นเจ้าของบ่อนดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวไว้ ส่วนจุดที่ 2 เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นบริเวณสนามฟุตซอล ชื่อ “เกียรติ ดอนเมือง” จากการตรวจค้นห้องขนาดใหญ่ด้านข้างสนามดังกล่าว พบนักพนัน จำนวน 30 ราย กำลังเล่นการพนันประเภทเสือมังกร เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวเข้าจับกุมได้ทั้งหมด พร้อมของกลางไพ่หลายสำรับ โพยฟุตบอลต่างประเทศอีกจำนวนมาก รวมถึงอุปกรณ์การเล่นไฮโลจำนวนหนึ่ง จึงยึดไว้เป็นของกลาง

 

 

               ส่วนจุดที่ 3 เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นห้องขนาดเล็กใกล้กับจุดที่ 2 พบนักพนันกำลังเล่นพนันประเภทกำถั่ว เจ้าหน้าที่จึงเข้าจับกุมตัวได้ทั้งหมด 25 ราย พร้อมอุปกรณ์การพนันกำถั่ว รวมทั้ง 3 จุดแล้ว สามารถจับกุมนักพนันได้ทั้งสิ้น 69 ราย ตรวจยึดเงินสดได้ประมาณ 10,000 บาท และชิปแทนเงินสดอีกจำนวนหนึ่ง ทั้งนี้ ภายในห้องที่เล่นการพนันทั้งสามห้อง มีการติดกล้องวงจรปิดไว้ป้องกันผู้เล่นพนันโกง นอกจากนี้ ยังพบห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ ไว้สำหรับใช้นั่งกินดื่มตบตาเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยก่อนหน้านี้ ห้องดังกล่าวเคยใช้เป็นห้องเล่นการพนัน แต่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ป. สน.ดอนเมือง และทหาร เข้าจับกุมมาแล้ว 3 ครั้ง

 

 

               ทั้งนี้ การเข้าจับกุมบ่อนการพนันจุดที่ 2 และ 3 เป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากสถานที่มีทางเข้าออกหลายทางและคับแคบ ทุกทางสามารถทะลุถึงกันได้ทั้งหมด โดยห้องที่เล่นการพนันถูกล้อมรอบด้วยสนามฟุตซอล 4 สนาม บนเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ ด้านนอกมีรั้วรอบขอบชิด และมีประตูเหล็กปิดกั้นสองชั้น รวมถึงมีคนเฝ้าต้นทางคอยระวังคนแปลกหน้าและเจ้าหน้าที่ นอกจากนี้ขณะเข้าจับกุม นายอำนวย หรือ “นวย ดอนเมือง” ซึ่งพักอยู่ในเซฟเฮ้าส์ได้ออกมาโวยวายว่า เจ้าหน้าที่ไม่มีหมายค้น เนื่องจากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ตำรวจเคยจะเข้าจับกุมบ่อนดังกล่าว แต่ถูกนายอำนวยโวยวายว่าไม่มีหมายค้น เจ้าหน้าที่จึงกลับไปรวบรวมหลักฐานและขอหมายค้น จนมาวันนี้ นายอำนวยก็โวยวายเหมือนเดิม แต่คราวนี้เจ้าหน้าที่แสดงหมายค้น เจ้าตัวจึงยินยอม จนทำให้เจ้าหน้าที่สามารถเข้าจับกุมนักพนันได้จำนวนมาก

 

 

               พล.ต.ต.อิทธิพล เปิดเผยว่า การจับกุมบ่อนพนันครั้งนี้ เป็นการเข้าจับกุมตามนโยบายของรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช ผบช.น. ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดตรวจเข้ม กวดขันไม่ให้มีการพนันอบายมุขต่างๆ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงสืบสวนหาข่าว พบว่าบ่อนดังกล่าวเปิดมาแล้ว 3 ปี เคยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบฯ เจ้าหน้าที่ทหาร และตำรวจท้องที่ สน.ดอนเมือง เข้าจับกุมแล้วหลายครั้ง แต่ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ยังคงเปิดต่อ เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.บช.น. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.ดส.บช.น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ดอนเมือง และเจ้าหน้าที่ทหารร้อย รส.ศูนย์ต่อสู้ป้องกันทางอากาศ กองทัพบก สนธิกำลังกันเข้าร่วมจับกุมในครั้งนี้

 

 

               เบื้องต้น เจ้าหน้าที่แจ้งข้อหา ร่วมกันลักลอบเล่นการพนันโดยผิดกฎหมาย แก่นักพนันทั้งหมด และแจ้งข้อหา จัดให้มีการลักลอบเล่นการพนัน เพิ่มเติมแก่นายอำนวย พร้อมควบคุมตัวทั้งหมดส่งดำเนินคดีที่ สน.ดอนเมือง ต่อไป

 

 

               อีกด้านหนึ่งที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.ชาญเทพ เปิดเผยกรณีที่มีการจับกุมบ่อนดังกล่าวว่า เบื้องต้นตนได้สั่งการให้ชุดจับกุมดำเนินการตรวจสอบ ภายหลังได้รับแจ้งว่ามีบ่อนการพนันในพื้นที่ดังกล่าว ส่วนนายอำนวยที่มีการระบุว่าเจ้าของบ่อนดังกล่าวนั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องเป็นเจ้าหน้าที่ทหารหรือตำรวจแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม การสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ดอนเมือง ช่วยราชการหรือไม่ จะต้องดำเนินการตรวจสอบให้แน่ชัดก่อนว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่มีข้อบกพร่องหรือไม่ก่อนพิจารณาต่อไป