ข่าว

"บิ๊กป้อม-บิ๊กฉัตร"ลั่นคดีล่าสัตว์ป่าไม่เงียบแน่

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ค้นบ้านพัก"เปรมชัย" ตะลึงไรเฟิล-ปืนสั้น กว่า 40 กระบอก นำไปตรวจสอบ ด้านเจ้าตัวให้สัมภาษณ์เพจดังรับมีส่วนผิด ขอสู้ในชั้นศาล "บิ๊กป้อม-บิ๊กฉัตร"ลั่นคดีไม่เงียบแน่

     กรณีเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฝั่งตะวันตก ได้เข้าจับกุม นายเปรมชัย กรรณสูต อายุ 63 ปี อยู่บ้านเลขที่ 12/3 ซ.ศูนย์วิจัย 3 แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ ตำแหน่งประธานบริหารบริษัทอิตาเลียนไทยดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน), นายยงค์ โดดเครือ อายุ 65 ปี อยู่บ้านเลขที่ 84 หมู่ 8 ต.คุ้งพะยอม อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี, นางนที เรียมแสน อายุ 43 ปี อยู่บ้านเลขที่ 102 หมู่ 1 ต.ทุ่งสว่าง อ.ประทาย จ.นครราชสีมา และนายธานี ทุมมาศ อายุ 56 ปี อยู่บ้านเลขที่ 47 หมู่ 3 ต.ช่องสะเดา อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ที่บริเวณป่าห้วยปะชิ ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก ท้องที่ ต.ชะแล อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ทับซ้อนป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาน้ำโจน 

     พร้อมยึดของกลางปืนไรเฟิลติดลำกล้อง 2 กระบอกและปืนลูกซองแฝด พร้อมกระสุนหลายขนาดจำนวนมาก และตรวจพบซากเสือดำถูกชำแหละแล้ว 1 ตัว หนัก 10.6 กิโลกรัม ไม่รวมหนังเสือ มีความยาวหัวถึงสะโพก 83 เซนติเมตร และหนังเสือดำที่ถูกชำแหละแล้ว 1 ผืน หนัก 2.6 กิโลกรัม ความยาวหัวถึงหาง 148 เซนติเมตร นอกจากนี้ยังพบซากไก่ฟ้าหลังเทา จำนวน 1 ตัว หนัก 0.6 กิโลกรัม ซึ่งสัตว์ป่าทั้ง 2 ชนิดเป็นสัตว์ป่าประเภทสัตว์ป่าคุ้มครอง โดยเจ้าหน้าที่แจ้ง 6 ข้อหาในความผิด พ.ร.บ.สัตว์ป่าและอาวุธปืน นำตัวฝากขัง ต่อมาศาลอนุมัติให้ประกันตัวในวงเงินคนละ 1.5 แสนบาทนั้น

     ล่าสุดเมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 7 กุมภาพันธ์ พล.ต.ต.กฤษณะ ทรัพย์เดช รองผบช.ภ.7 พร้อมด้วย พ.ต.อ.สุวัฒน์ อินทสิทธิ์ รองผบก.ปทส. พ.ต.อ.ฤทธี ปานดำ ผกก.สน.มักกะสัน นายถิรเดช ปาละสุวรรณ และนายนุวรรต ลีลาพตะนักวิชาการป่าไม้ชำนาญการ นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.มักกะสัน เจ้าหน้าที่ตำรวจบก.ปทส. เจ้าหน้าที่กรมอุทยานสัตว์ป่าฯ เข้าตรวจค้นบ้านพักของนายเปรมชัย ที่ซอยศูนย์วิจัย 3 กรุงเทพฯ ตามหมายค้นศาลอาญา เลขที่ 49/2561 ลงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2561 เพื่อขอตรวจค้นสิ่งผิดกฎหมายภายในบ้าน

     ทั้งนี้ เมื่อเจ้าหน้าที่มาถึงบริเวณหน้าบ้านได้กดกริ่งแต่ไม่มีคนออกมาเปิดประตู เจ้าหน้าที่จึงได้พูดผ่านทางเครื่องขยายเสียงอย่างต่อเนื่องประมาณ 15 นาที จนมีบุคคลภายในบ้านยอมออกมาเจรจากับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยกล่าวว่าจะให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นอย่างดี แต่ขอให้ทนายมาถึงก่อน จึงจะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปภายในบ้าน ส่วนสื่อมวลชนขอให้รออยู่ข้างนอก

     จนกระทั่งเวลา 12.00 น. นายวิภาช อัมพรกลิ่นแก้ว นิติกรของบริษัทอิตาเลียนไทยฯ เดินทางมาถึง หลังจากได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและดูหมายค้นจากศาล ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งว่าขอเข้าตรวจค้นบริเวณบ้านทั้งหมด 3 หลัง คือบ้านเลขที่ 12/1, บ้านเลขที่ 12/2 และบ้านเลขที่ 12/3 ซึ่งอยู่ภายในรั้วเดียวกัน โดยจะเข้าไปตรวจค้นหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับคดีเท่านั้น ทนายก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เจ้าหน้าที่จึงเข้าไปภายในบ้านและตรวจค้น

     ต่อมาเวลา 14.00 น. นายวิทูลย์ แย้มพราย ทนายความส่วนตัวของนายเปรมชัย เดินทางมาถึงและรีบเข้าไปภายในบ้านโดยไม่ให้สัมภาษณ์แต่อย่างใด

ตำรวจเข้าค้นบ้านพัก“เปรมชัย”

     พ.ต.อ.สุวัฒน์ อินทสิทธิ์ รอง ผบก.ปทส. เปิดเผยภายหลังการตรวจค้นบ้านทั้งสองหลังเลขที่ี 12/1 และ 12/2 ว่า จากการตรวจสอบไม่มีสิ่งผิดปกติ ไม่พบว่าบ้านทั้งสองหลังเกี่ยวข้องกัน ไม่มีสิ่งใดที่บ่งบอก แต่ที่ต้องเข้าตรวจค้นเพื่อหาจุดเชื่อมโยง เนื่องจากบ้านเลขที่ 12/1 ชื่อผู้ครอบครองเป็นพี่น้องกับนายเปรมชัย จึงอาจจะมีการถ่ายเทสิ่งของ แต่จากการตรวจสอบไม่พบอะไรที่เชื่อมโยงกัน 

     ส่วนบ้านเลขที่ 12/3 ที่เป็นบ้านพักของนายเปรมชัย จากการตรวจสอบที่เจ้าหน้าที่พบอาวุธปืนนั้น เบื้องต้นยังไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัดรอการตรวจสอบอย่างละเอียด แต่จากการมองด้วยตาเปล่าอาวุธปืนทั้งหมดมีทั้งปืนยาวไรเฟิลติดกล้องและไม่ติดกล้อง ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับของกลางที่ตรวจยึดได้จากที่เกิดเหตุ นอกจากนี้ยังมีอาวุธปืนลูกซองยาว ทั้งหมดอยู่ในห้องข้างห้องนอน รวมทั้งสิ้นเกือบ 10 กระบอก นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังพบอาวุธปืนสั้นอีก 1 กระบอก ขนาด 9 มม. พร้อมเครื่องกระสุน ซึ่งเป็นของบุตรชายนายเปรมชัย ซึ่งอาวุธปืนทุกกระบอกมีเอกสารและใบอนุญาต ซึ่งจะนำไปตรวจสอบอย่างละเอียดทุกกระบอก 

     นอกจากนี้ ยังพบงาช้างภายในบ้านพักจำนวน 2 คู่ ขนาดความยาวประมาณ 1 เมตร คาดว่าน่าจะเป็นงาช้างไทยเพราะมีเอกสารการครอบครอง อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ จะนำไปตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง สำหรับการเข้าตรวจค้นนั้น เจ้าหน้าที่ไม่พบตัวนายเปรมชัย แต่ภรรยาของนายเปรมชัยให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และจากการสอบถามทราบว่านายเปรมชัยเป็นคนรักธรรมชาติ แต่ว่าหลังจากเกิดเรื่องยังไม่ทราบว่านายเปรมชัยอยู่ที่ใด

ค้น6จุดลั่นดำเนินคดีคนเอี่ยว

     ต่อมาเวลา 16.00 น. พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.สมบัติ มิลินทจินดา รองผบช.ภ.1 และ พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช รองผบช.ส.4 เดินทางมายังบ้านหลังดังกล่าวเพื่อร่วมตรวจค้น โดย พล.ต.อ.ศรีวราห์ เปิดเผยว่า วันนี้เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจค้นพร้อมกันทั้ง 6 จุด คือกาญจนบุรี 1 จุด ราชบุรี 1 จุด นครราชสีมา 1 จุด กรุงเทพฯ 1 จุด และนนทบุรี 2 จุด ซึ่งจากการตรวจค้นทั้ง 6 จุด พบเพียงที่กรุงเทพฯ คืองาช้าง 2 คู่ มีผู้ครอบครอง พบอาวุธปืน 40 กระบอก เป็นปืนสั้น 2 กระบอก และปืนไรเฟิล 38 กระบอก ซึ่งปืนที่มีลักษณะใช้สำหรับล่าสัตว์ เบื้องต้นจะต้องยึดไปตรวจสอบทั้งหมด ตรวจสอบทะเบียน ตรวจสอบการใช้งาน เคยใช้ยิงที่ไหน ซึ่งจะให้เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานได้ตรวจอย่างละเอียด

     พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวอีกว่า สำหรับหลักฐานที่ตรวจยึดได้ในวันนี้ทั้งหมดถือเป็นพยานแวดล้อมส่วนหนึ่งว่าชอบล่าสัตว์ มีไว้เพื่อล่าสัตว์ ซึ่งหลักฐานทั้งหมดจะรวบรวมไว้ในสำนวน เบื้องต้นไม่รู้สึกกังวลแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานอย่างตรงไปตรงมา ในส่วนของการตรวจสอบนั้น หลังจากวันนี้แล้ว ต้องมีการประชุมอีกครั้งว่าจะมีการดำเนินการตรวจค้นที่ใดเพิ่มเติมอีกหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงานหรือบ้านพักหลังอื่น ในส่วนของการสอบปากคำ ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ช่วงบ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปทส.จะเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องมาสอบปากคำทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ที่เข้าเวรในช่วงระหว่างวันที่ 2-4 กุมภาพันธ์ ในส่วนของดีเอ็นเอกับลายนิ้วมือที่ปืนของกลาง เวลานี้อยู่ในขั้นตอนการตรวจพิสูจน์ ซึ่งคาดว่าน่าจะมีความชัดเจน

     “ยืนยันว่าไม่ว่าจะตรวจพบลายนิ้วมือหรือดีเอ็นเอใคร จะฟ้องดำเนินคดีทุกคน ไม่สามารถอ้างได้ วัตถุพยานมันฟ้องอยู่ ในทางสืบสวนหลักฐานที่พบเชื่อว่ามีการเตรียมการ เพราะการขออนุญาตเข้าไปภายในไม่ได้มีการเตรียมอาหารไปแต่อย่างใด เป็นการไปหาเอาข้างหน้า สำหรับอาวุธปืนที่ตรวจพบในวันนี้ทั้ง 40 กระบอก เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบอย่างละเอียดว่าใครเป็นเจ้าของ มีชื่อเป็นผู้ครอบครอง ถ้ามีชื่อใครก็เรียกดำเนินคดีเป็นรายบุคคลไป เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติม และยังไม่ทราบว่านายเปรมชัยอยู่ที่ใด” พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าว

     พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวอีกว่า สำหรับคดีนี้นายกรัฐมนตรีเร่งรัดให้ดำเนินคดีตรงไปตรงมา ซึ่งเวลานี้เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 7 ได้ทำหนังสือถึงผบ.ตร. แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปทส.เข้าร่วมทำคดีแล้ว แต่คงไม่ต้องตั้งคณะทำงานเพิ่มเติม เพราะตนดูแลอยู่แล้ว ในส่วนของกระแสสังคมว่าเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ มีส่วนรู้เห็นและมีความผิดที่ให้เข้าพื้นที่นั้น ก็อยู่ระหว่างตรวจสอบ ถ้ารู้เห็นว่าเข้าไปล่าสัตว์ก็มีความผิดอยู่แล้ว ประเด็นคือในเมื่อเข้าไปไม่ชอบแล้วทำไมถึงไม่จับกุมแต่ยังปล่อยให้เข้าไป

"บิ๊กป้อม-บิ๊กฉัตร"ลั่นคดีล่าสัตว์ป่าไม่เงียบแน่

ตรวจพบปืนทั้งหมด43กระบอก

     ต่อมาเมื่อเวลา 17.45 น. เจ้าหน้าที่ได้ขนอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน งาช้าง ที่พบในบ้านพักโดยมีพนักงานสอบสวน สภ.ทองผาภูมิ คอยตรวจนับ ทั้งนี้พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช รองผบช.ส.4 เปิดเผยว่า จากการตรวจค้นพบอาวุธปืนทั้งหมด 43 กระบอก แบ่งเป็นปืนยาว 41 กระบอก และปืนสั้นแบบออโตเมติก จำนวน 2 กระบอก สำหรับปืนยาวนั้นแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ปืนลูกซอง และปืนไรเฟิลขนาดต่างๆ ตั้งแต่ .22 .30 และขนาด 9 มม. สำหรับเครื่องกระสุนปืนนั้นพบ กระสุนขนาด .40 จำนวน 1,550 นัด กระสุนลูกซองขนาดต่างๆ จำนวน 49 นัด และกระสุนปืนไรเฟิลอีก 30 นัด พร้อมกล้องติดปืนไรเฟิลอีก 11 ชิ้น สำหรับงาช้างนั้น พบ 2 คู่

     รองผบช.ส.4 กล่าวต่อว่า อาวุธปืนทั้งหมดมีทะเบียนเป็นชื่อของนายเปรมชัยเกือบทั้งหมด มีเพียง 2-3 กระบอกที่เป็นของลูกชาย ทั้งนี้การที่มีอาวุธปืนเป็นจำนวนมากนั้น เป็นดุลพินิจของนายทะเบียน ของอำเภอ ฝ่ายปกครองในการอนุมัติใบอนุญาต ซึ่งเจ้าหน้าที่จะตรวจสอบใบอนุญาตต่อไป โดยทางทนายความของนายเปรมชัยจะนำหลักฐานการครอบครองอาวุธปืนทั้งหมดมาให้ทางพนักงานสอบสวนสภ.ทองผาภูมิตรวจสอบต่อไป ทั้งนี้ภายในบ้านไม่พบร่องรอยรื้อค้นเคลื่อนย้ายทรัพย์สิน ส่วนหนังเสือตรงเก้าอี้ที่เป็นข่าวก็ไม่พบในบ้านหลังดังกล่าว ส่วนข้อที่ว่านายเปรมชัยอยู่ไหนนั้น อยู่ในสำนวนไม่สามารถเปิดเผยได้

     พล.ต.ต.ชยพล กล่าวด้วยว่า วันนี้เจ้าหน้าที่ยังเข้าตรวจค้นอีก 5 จุด คือที่ จ.ราชบุรี จ.นครราชสีมาและจ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นบ้านพักของนายเปรมชัยก็ไม่พบของผิดกฎหมายแต่อย่างใด และเจ้าหน้าที่ยังได้ไปตรวจร้านอาหารเครือข่ายของนายธานี ที่ร้านแซ่บอีสานและร้านท่าทุ่งนา ย่านบางกรวย จ.นนทบุรี ซึ่งคาดว่าจะมีการนำเนื้อสัตว์คุ้มครองมาทำอาหารขาย แต่ก็ไม่พบแต่อย่างใด

ตรวจบ้านผู้ต้องหาในต่างจังหวัด

     มีรายงานแจ้งว่า ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจค้นบ้านพักของผู้ต้องหาอีก 3 ราย คือบ้านของนายยงค์ โดดเครือ บ้านเลขที่ 84 หมู่ 8 ต.คุ้งพยอม อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี, บ้านของนางนที เรียมแสน บ้านเลขที่ 102 หมู่ 1 ต.ทุ่งสว่าง อ.ประทาย จ.นครราชสีมา และบ้านของนายธานี ทุมมาศ บ้านเลขที่ 47 หมู่ 3 ต.ช่องสะเดา อ.เมือง จ.กาญจนบุรี

     ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.นครราชสีมา ว่า พ.ต.อ.สมคิด ทิพยจักรพงศ์ ผกก.ปทส. และ พ.ต.อ.ภูไท เชาว์สูงเนิน ผกก.ปพ.บก.สส.ภ.3 ได้นำหมายศาลจังหวัดบัวใหญ่ พร้อมกำลังตำรวจปทส. และตำรวจสอบสวนกลาง จำนวน 25 นาย เข้าตรวจค้นบ้านของนางนที ซึ่งเป็นบ้านชั้นเดียว พบเพียงนายวิศิษฐ์ แก้วข้อนอก อายุ 71 ปี และนางแจ้ แก้วข้อนอก อายุ 66 ปี พ่อและแม่ของผู้ต้องหา โดยเจ้าหน้าที่ใช้เวลาตรวจค้น 30 นาทีไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย จากนั้นได้ลงบันทึกการให้ปากคำไว้เป็นหลักฐาน

     จากการสอบถามนายวิศิษฐ์ พ่อของนางนที บอกว่า ลูกสาวเดินทางไปกรุงเทพฯ และสมัครทำงานเป็นลูกจ้างอยู่ที่บริษัท อิตาเลียนไทยฯ หลังจากไปทำงานแล้วก็ไม่ได้ติดต่อกลับมาบ้านนานกว่า 3 ปีแล้ว ส่วนเรื่องการบุกรุกเข้าป่าไปล่าสัตว์ไม่ทราบเรื่องมาก่อน เพิ่งมาทราบข่าวก็ตอนที่ญาติๆ มาเล่าให้ฟังว่าลูกสาวถูกจับ ซึ่งก่อนหน้านี้ลูกสาวก็ไม่ใช่คนที่ชอบล่าสัตว์หรือชอบกินเนื้อสัตว์ป่าเป็นพิเศษแต่อย่างใด จึงไม่เชื่อว่าลูกสาวจะร่วมกันออกไปล่าสัตว์ป่าตามที่เป็นข่าวครั้งนี้

     ขณะเดียวกัน พ.ต.อ.ไพบูลย์ แพรสีนวล ผกก.สส.ภ.จว.กาญจนบุรี พ.ต.ต.เกริก เสนาสำเนียง สว.สส.ภ.จว.กาญจนบุรี ร.ต.อ.นัฐพล ดาวเรือง รอง สว.สส.ภ.จว.กาญจนบุรี ร.ต.ท.คำรณ บริสุทธิ์ รอง สว.สส.ภ.จว.กาญจนบุรี ได้เข้าตรวจค้นบ้านพักเลขที่ 47 บ้านโป่งปัด หมู่ 3 ต.ช่องสะเดา อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ของนายธานี เป็นบ้านปูนชั้นเดียว พบนายวิเชียร เอกชะอุ่ม อายุ 79 ปี อยู่บ้านเลขที่ 87 หมู่ 3 ต.ช่องสะเดา อยู่ภายในบ้านเพียงคนเดียว ทั้งนี้จากการตรวจค้นไม่พบสิ่งผิดกฎหมายแต่อย่างใด จากการสอบถามนายวิเชียร ทราบว่า มีฐานะเป็นพ่อตาของนายธานี โดยระบุว่าลูกเขยและลูกสาวไปทำมาหากินด้วยการค้าขายอาหารอยู่ในพื้นที่ตลาดคลองเตย กรุงเทพฯ และพักอาศัยอยู่ที่ย่านบางกรวย จ.นนทบุรี 2-3 เดือน จึงจะเดินทางกลับมาเยี่ยมบ้านสักครั้งหนึ่ง

     ด้านนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าหน่วยพญาเสือ (กรมอุทยานฯ) เปิดเผยว่า นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ชุดพญาเสือเดินทางมาร่วมตรวจสอบสำนวนการทำบันทึกของเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ ในการแจ้งความดำเนินคดี โดยขอให้ทำอย่างรอบคอบให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย

     “ถามว่าหนักใจหรือไม่ในการจับกุมผู้ที่มีชื่อเสียงในระดับประเทศในครั้งนี้ ทุกวันนี้การทำงานของกรมอุทยานฯ ค่อนข้างชัดเจนอยู่แล้วว่าบุคคลใดก็แล้วแต่ที่ทำการบุกรุกป่า ซึ่งกรณีการบุกรุกป่าที่ผ่านมามีการจับกุมเคสใหญ่ๆ มาแล้วก็มี แต่สำหรับกรณีนี้ที่มีการเข้าไปล่าสัตว์ป่ายิ่งชัดเจนยิ่งกว่าการไปบุกรุกป่า ดังนั้น เจ้าหน้าที่ของเราจึงไม่ได้มีความหนักใจเกี่ยวกับการทำงานแต่อย่างใด หลังจากนี้กรมอุทยานฯ จะดำเนินการทางกฎหมายกับกลุ่มผู้ถูกจับกุมอย่างเต็มที่ และคงจะมีการแจ้งความเพิ่มเติม” นายชัยวัฒน์กล่าว

“วิเชียร”เล่านาทีเข้าจับกุมกลางป่า

     นายวิเชียร ชิณวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฝั่งตะวันตก เปิดเผยว่า ได้ออกลาดตระเวนเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ กระทั่งเวลา 13.00 น.ก็ไปตรวจพบว่ามีกลุ่มบุคคลเข้าไปกางเต็นท์พักแรม ซึ่งจุดอยู่ในเส้นทางที่กรมอุทยานฯ อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้ามาศึกษาเส้นทางทางธรรมชาติได้ เพียงแต่ว่าการพักค้างแรมจะต้องพักอยู่ในบริเวณที่ทำการจุดพิทักษ์ป่าเท่านั้น จะออกไปกางเต็นท์พักผ่อนตามอัธยาศัยไม่ได้โดยเด็ดขาด จึงได้เข้าไปพูดคุยพร้อมกับให้คำแนะนำแต่กลับไม่ได้รับการตอบสนองหรือไม่ได้รับความร่วมมือ

     ทั้งนี้ จากการเดินตรวจสอบพื้นที่โดยรอบบริเวณจุดที่กางเต็นท์ ระหว่างนั้นก็ได้เสียงอาวุธปืนดังขึ้น จึงรีบเข้าไปตรวจสอบจุดที่ได้ยินเสียง ปรากฏพบผู้ชายหนึ่งคนกำลังเล็งกระบอกปืนไปที่สัตว์ป่าที่หากินอยู่บนยอดไม้ จึงรีบแจ้งให้หยุดและได้ควบคุมชายคนดังกล่าวไว้และนำไปสมทบกับกลุ่มที่กางเต็นท์ โดยพบปลอกกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 20 ตกอยู่ ห่างไป 15 เมตร ก็พบเศษชิ้นเนื้อลักษณะคล้ายเครื่องในของสัตว์กองอยู่ พร้อมกับถุงใส่เกลือหล่นอยู่ 2 ถุง เจ้าหน้าที่จึงเอะใจ เพราะตามปกติแล้วเกลือไม่น่าจะมาตกหล่นอยู่ในป่าจึงสันนิษฐานได้ว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวน่าจะมีการล่าสัตว์ป่า ดังนั้นจึงเข้าตรวจค้นพบซากไก่ฟ้าป่า และเนื้อหมูป่าแช่อยู่ในถังน้ำแข็ง กระทั่งพบอาวุธปืนไรเฟิลรวมทั้งอาวุธปืนลูกซองเพิ่มอีก และในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ตรวจอีกครั้งพบถุงดำ เปิดออกดูพบซากหนังเสือดำ 1 ซาก และพบถุงอีกใบภายในเป็นเนื้อของเสือดำ หนักประมาณ 20 กิโลกรัม

     “ระหว่างการเข้าจับกุมไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีผู้บริหารบริษัทที่มีชื่อเสียงใหญ่โต เพราะที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะเกิดความขัดแย้งกับชาวบ้านเท่านั้น ซึ่งความขัดแย้งก็เป็นเพียงแค่ความไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน เพราะต่างฝ่ายก็ทำหน้าที่เท่านั้น ซึ่งชาวบ้านเองก็จำเป็นต้องพึ่งป่า ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ป่าไม้ก็มีหน้าที่รักษาผืนป่าเอาไว้ จึงไม่คาดคิดว่าจะมาเจอคนที่มีชื่อเสียงในระดับนี้ ส่วนตัวแล้วไม่ได้มีความหวั่นไหว อย่างน้อยเจ้าหน้าที่ของเราไม่ได้จับกุมเฉพาะชาวบ้านที่กระทำผิดกฎหมายเท่านั้น คนที่มีความพร้อมหรือมีฐานะทางการเงินที่ดี เมื่อพลาดเข้ามากระทำผิด เมื่อถูกเจ้าหน้าที่จับกุม การปฏิบัติก็ต้องเท่าเทียมกันกับชาวบ้านหรือประชาชนทุกคน” นายวิเชียรกล่าว

     วันเดียวกัน พ.ต.ท.เพทาย จันทร์ไพร รองผู้กำกับการ 3 กองบังคับการสืบสวน ตำรวจภูธรภาค 7 ได้นำกำลังเข้าค้นบ้านเลขที่ 84 หมู่ 8 ต.คุ้งพยอม อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี เป็นบ้านของนายยงค์ โดดเครือ หนึ่งในผู้ต้องหา โดยนายยงค์ซึ่งได้รับการประกันตัวออกมาอยู่ที่บ้านกับญาติได้นำเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นซึ่งบ้านหลังดังกล่าวจะมาพักอาศัยแค่ช่วงวันหยุด แต่ในวันทำงานก็จะไปทำงานกับนายเปรมชัย ทั้งนี้ การตรวจค้นใช้เวลา 1 ชม.ไม่พบหลักฐานและสิ่งผิดปกติใด

     ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เวลา 11.30 น. พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า ได้ให้ พล.ต.ท.กิตติพงษ์ เงามุข ผบช.ภ.7 และ พล.ต.ท.ศักดา ชื่นภักดี ผู้ช่วยผบ.ตร. ซึ่งกำกับดูแลงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงไปควบคุมดูแลด้วยตนเอง ดำเนินการให้โปร่งใสให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ทั้งนี้ การสืบสวนต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ไม่สามารถทำนอกเหนือที่กฎหมายกำหนดไว้ได้ ไม่กังวลถึงแม้ว่าผู้ต้องหาจะเป็นคนที่มีชื่อเสียง ถ้าผิดก็ต้องดำเนินคดี ยืนยันไม่มีใบสั่งหรือสัญญาณจากใครให้ช่วยเหลือนายเปรมชัย

     “กองพิสูจน์หลักฐานอยู่ระหว่างตรวจสอบหลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุ โดยเฉพาะอาวุธปืนกำลังตรวจลายนิ้วมือ ถึงแม้ผู้ต้องหาจะให้การปฏิเสธแต่ในทางคดีจะพิจารณาจากพยานและหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์เป็นหลัก อยู่ระหว่างตรวจสอบว่าปืนเป็นของใคร ใครเกี่ยวข้องก็ต้องดำเนินการ ไม่ต้องห่วงสามารถตรวจสอบได้อยู่แล้ว ซึ่งหลักฐานก็ปรากฏชัดทั้งซากสัตว์ อาวุธปืน ก็ต้องเร่งรวบรวมเพื่อสรุปสำนวนส่งให้พนักงานอัยการพิจารณา นอกจากนี้ได้สั่งให้พนักงานสอบสวนตรวจสอบว่ามีเจ้าหน้าที่คนใดนำพาขึ้นไปหรือไม่” รอง ผบ.ตร. กล่าว

ส่วนกรณีที่สังคมโซเชียลวิพากษ์วิจารณ์การบังคับใช้กฎหมายเปรียบเทียบกับสองตายายเข้าไปเก็บเห็ดในป่าแล้วถูกตัดสินจำคุก แต่กรณีนายเปรมชัยได้ประกันตัว พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ชี้แจงว่า ตำรวจได้คัดค้านการประกันตัวในชั้นสอบสวน แต่ได้ประกันตัวในชั้นศาล เป็นดุลพินิจของศาล ถ้าผู้เสียหายหรือกรมอุทยานฯ ไม่เห็นด้วยก็รวบรวมพยานหลักฐานใหม่เพื่อยื่นให้ศาลเพิกถอนประกันได้

"บิ๊กป้อม-บิ๊กฉัตร"ลั่นคดีล่าสัตว์ป่าไม่เงียบแน่

“เปรมชัย”พร้อมขอโทษ-มีส่วนผิด

     มีรายงานแจ้งว่า นายเปรมชัย ได้ให้สัมภาษณ์กับเพจชื่อดัง “อีจัน” กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า “ผมไม่อยากจะพูด เพราะว่าทางขั้นตอนทางด้านตำรวจ ทางศาลกำลังดำเนินการอยู่ ผมไม่อยากพูดอะไรที่มันยุ่ง”

     เมื่อถามว่า สังคมสื่อออนไลน์อาจตำหนิรุนแรง อยากจะให้พูดอะไรในสิ่งที่เกิดขึ้น จะขอโทษหรือมีปัญหาอย่างไร นายเปรมชัย กล่าวว่า “เรื่องขอโทษนี่ ผมยินดีที่ขอโทษ เพราะผมก็มีส่วนผิด แต่หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นผมไม่ได้เกี่ยวข้อง ผมก็ให้เป็นขั้นตอนของศาลว่าเขาจะตัดสินอย่างไร”

ประสานเสียงคดีไม่เงียบหายแน่

     ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีจับกุมนายเปรมชัยพร้อมพวกว่า ไม่มีอะไร ทุกอย่างต้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อกฎหมาย ไม่ต้องกังวล

     ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีการจับกุมนายเปรมชัยและพวกว่า ไม่รู้จะพูดอะไร พูดได้อย่างเดียวว่า เรื่องนี้ไม่น่าเกิดขึ้นได้ใน พ.ศ.นี้ และเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องดำเนินคดีไปตามกฎหมาย และดีแล้วที่สื่อติดตามก็ชัดเจน การเสนอข่าวถือว่าชัดเจนมาก อย่างน้อยได้ความรู้ ชาวบ้านรู้เลยว่ามันเสี่ยงต่อการผิดข้อหาอะไรบ้าง และถือเป็นบทเรียนสำหรับคนที่จะไปทำแบบนี้ จะรู้ว่าการล่าสัตว์ในป่าสงวน หรือในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ไม่ได้ผิดแค่นี้ แต่ยังผิดอีกหลายเรื่อง ทั้งผิด พ.ร.บ.อาวุธปืน ผิด พ.ร.บ.ป่าสงวน ผิด พ.ร.บ.สงวนรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ซึ่งตนก็พลอยได้ความรู้ไปด้วย

     ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่สังคมเป็นห่วงว่าเรื่องจะเงียบหายเพราะบริษัทกำลังจะมีการก่อสร้างทางลอดให้สัตว์เดินกับกรมอุทยานฯ นายวิษณุ กล่าวว่า สื่อมวลชนก็ช่วยกันจับตาดู ไม่มีใครกล้าเบี่ยงเบนหรอก เขาเฝ้าดูกันทั้งโลก ดังนั้นเขาไม่กล้าหรอก เมื่อถามอีกว่าหากเรื่องนี้มีความเชื่อมโยงไปถึงเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ที่มีการอนุญาตให้นำอาวุธเข้าไปล่าสัตว์ นายวิษณุ กล่าวว่า ก็ต้องถือว่าผิด ก็ไม่มีปัญหา เหมือนที่นายกฯ พูด หากทำโดยเจ้าหน้าที่ไม่เกี่ยว ผู้ที่ทำก็ผิด แต่ถ้าโดยเจ้าหน้าที่เกี่ยว เจ้าหน้าที่ก็ผิด ถ้าร่วมกันทำก็ถือว่าสมคบร่วมกันทำ ก็แค่นั้น ไม่มีใครเบี่ยงเบนไปได้หรอก

     ส่วนเหตุการณ์นี้จะกระทบต่อสิทธิการประมูลของบริษัทในโครงการของรัฐบาลหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า เร็วไปที่จะตอบอะไรทั้งนั้น ยังไม่ทราบ ซึ่งต้องแยกว่าการประมูลโดยนิติบุคคลที่มีผู้ถือหุ้นบริษัทกับการกระทำผิดส่วนบุคคล ถ้าจะกระทบก็น่าจะเป็นในลักษณะที่เมื่อกระทบตัวบุคคลก็ไปกระทบกับชื่อเสียงเกียรติภูมิของนิติบุคคลมากกว่า แต่อย่าเพิ่งโยงไปไกลถึงขนาดเรื่องประมูลอะไรกัน เราไม่มีข้อนั้นอยู่ 

     “ถ้าเขาเป็นผู้บริหารก็เปลี่ยนตัวเสีย แต่ถ้าเปลี่ยนแล้วยังไม่น่าเชื่อถืออีกก็ว่ากัน อย่างไรก็ตามการประมูลมันจะกระทบก็ต่อเมื่อขึ้นแบล็กลิสต์จากการหนีประมูล ทิ้งประมูล ทิ้งการก่อสร้าง ขณะนี้ปล่อยให้อยู่ในอำนาจของเจ้าหน้าที่ ไม่มีอะไรต้องกังวล” นายวิษณุกล่าว

     ด้าน พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องดำเนินการไปตามกฎหมาย แม้ว่าจะเป็นยุคของคสช. ซึ่งทุกคนเมื่อทำผิดก็ต้องถูกดำเนินคดีเหมือนกัน โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้แจ้งความไปแล้ว ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่นายเปรมชัย เป็นผู้มีชื่อเสียงทางสังคมเป็นห่วงว่าจะเกิดกรณีให้คนอื่นมารับผิดแทน พล.อ.ฉัตรชัย กล่าวว่า อย่าเพิ่งมองไปถึงจุดนั้น ขอให้ทุกอย่างเดินไปตามกฎหมายก่อน และนายกฯ ยืนยันแล้วว่าให้ดำเนินการตามกฎหมาย เมื่อถามถึงกรณีที่หลายคนเป็นห่วงเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมนายเปรมชัยอาจถูกกลั่นแกล้งได้นั้น พล.อ.ฉัตรชัย กล่าวว่า ไม่น่าจะมีการทำอะไรอย่างนั้นได้ เพราะเจ้าหน้าที่ทำตามหน้าที่และเราต้องให้กำลังใจเขาด้วยซ้ำ เพราะถ้าไม่ให้กำลังใจ เจ้าหน้าที่ที่ทำงานเหล่านี้อาจจะท้อถอยและหมดกำลังใจในการทำงานได้ อันนี้ต้องชื่นชมที่ปฏิบัติงานอย่างถูกต้อง

     ส่วนที่สังคมเป็นห่วงเรื่องคดีจะเงียบหาย เพราะบริษัทกำลังจะมีการก่อสร้างทางลอดให้สัตว์เดินกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช พล.อ.ฉัตรชัย กล่าวว่า ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะบริษัท อิตาเลียนไทยฯ เป็นบริษัทหนึ่งที่ไปก่อสร้างให้กรมอุทยานแห่งชาติฯ ถือเป็นอาชีพของเขาที่ไปประมูลงานได้ ถือเป็นบริษัทใหญ่ที่ไม่ได้ก่อสร้างเฉพาะในประเทศเท่านั้น แต่โด่งดังไปถึงต่างประเทศด้วย นายกฯ พูดแล้วว่าเป็นไปตามกฎหมาย คงไม่มีใครไปช่วยได้ ขอให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการไป อย่าเพิ่งไปคาดการณ์อะไร

โลกออนไลน์แห่วิจารณ์ล่าสัตว์ป่า

     นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยถึงกรณีนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารและกรรมการ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ ถูกควบคุมตัวเนื่องจากเข้าไปล่าสัตว์ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรว่า ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ไม่มีกำหนดเกณฑ์ว่าการกระทำดังกล่าวมีความผิดหรือไม่ เพราะเกณฑ์ที่ควบคุมจะเป็นเรื่องกรณีที่ผู้บริหารทุจริต กล่าวโทษ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จะเป็นผู้ดำเนินการ แต่เรื่องนี้เป็นความผิดบุคคลในการละเมิดสิทธิ และผิดหลักธรรมาภิบาลขององค์กร ส่วนจะมีการออกกฎหมายควบคุมเรื่องดังกล่าวหรือไม่นั้น เป็นเรื่องยาก เนื่องจากกฎหมายไทยมีเป็นหมื่นฉบับ แต่เชื่อว่าเรื่องหลักธรรมาภิบาลจะครอบคลุมมากกว่า ส่วนกรณีที่สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย หรือไอโอดี จะลดอันดับคะแนนธรรมาภิบาลจากที่ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 4 ดาวหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่ไอโอดีจะต้องพิจารณาทบทวนว่าจะดำเนินการอย่างไร

     มีรายงานแจ้งว่า หลังจากเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ นายเปรมชัยได้รับการประกันตัวชั่วคราว จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวไปสอบสวนต่อที่ สภ.ทองผาภูมิ ผู้สื่อข่าวได้ถามนายเปรมชัยว่า มาทุ่งใหญ่บ่อยไหม นายเปรมชัย ตอบว่า “มาเป็นครั้งที่ 2 ในชีวิต ครั้งแรก 30 กว่าปีที่แล้ว มาทำเขื่อนเขาแหลม ส่วนครั้งนี้มาท่องเที่ยวพักผ่อน จะแก่ตายอยู่แล้ว ขอมาสักเที่ยว”

     อย่างไรก็ตาม ในประเด็นดังกล่าว ได้ถูกชาวเน็ตร่วมสืบหาและนำภาพจากเฟซบุ๊กของบุคคลคนหนึ่งซึ่งคาดว่าเป็นคนสนิทได้โพสต์ไว้เมื่อปี 2559 เป็นภาพขณะอยู่ในป่ากับนายเปรมชัย พร้อมคอมเมนต์ว่า “เที่ยวป่าล่าสัตว์”

     ขณะที่ในโลกออนไลน์ได้มีความเคลื่อนไหวโดยชาวเน็ตจำนวนมากได้แสดงความคิดเห็นถึงความไม่เหมาะสมในการเข้าไปล่าสัตว์ป่าสงวนในเขตอุทยานฯและต้องการให้ดำเนินคดีให้ถึงที่สุด นอกจากนี้เหล่าคนบันเทิง อาทิ “เก๋ ชลลดา” “บุ๋ม ปนัดดา” และ “ท็อป ดารณีนุช” ได้โพสต์ภาพเสือดำ พร้อมข้อความคิดเห็นลงในอินสตาแกรม โดยข้อความจากสืบ นาคะเสถียร ที่กล่าวเมื่อปี 2518 “เสียงปืนที่ดังลั่น ตัวแม่นั้นต้องสิ้นใจ ลูกน้อยที่กอดไว้ กระดอนไปเพราะแรงปืน ฝืนใจเข้ากอดแม่ หวังแก้ให้แม่ฟื้น แม่จ๋าเพราะเสียงปืน จึงไม่คืนชีวามา โทษใดให้ประหาร ศาลไหนพิพากษา หากลูกท่านเป็นสัตว์ป่า ใครเข่นฆ่าท่านยอมไหม ชีวิตใครก็รัก ท่านประจักษ์บ้างหรือไม่ โปรดเถิดจงเห็นใจ สัตว์ป่าไซร้ก็เหมือนกัน”

ฉบับ นสพ.คมชัดลึก

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ