จับ“ไซซะนะ”นักค้ายาดับอาเซียน

    ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม ยาเสพติด (ป.ป.ส.) เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 20 มกราคม พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รอง.ผบ.ตร.พร้อมด้วย นายศิรินทร์ยา สิทธิชัย เลขาธิการ ป.ป.ส. และ พล.ต.ท.สมหมาย กองวิสัยสุข ผบช.ปส. ร่วมกันแถลงผลการจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับในเครือข่าย นายไซซะนะ แก้วพิมพา ผู้จำหน่ายยาเสพติดรายใหญ่ในภูมิภาคอาเซียน ประกอบไปด้วย นายไซซะนะ แก้วพิมพา อายุ 42 ปี สัญชาติลาว ผู้ต้องหาตามหมายจับหมายจับศาลอาญาที่ 5/2560 ลงวันที่ 9 มกราคม 2560 สามารถจับกุมได้ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ พร้อมตรวจยึดของกลางเอกสารต่างๆ ,เงินสด 3.5 แสนบาท และธนบัตรสหรัฐอเมริกา 35,000 ดอลล่าร์ นายชุมพร พนมไพร อายุ42ปี อยู่บ้านเลขที่ 35 หมู่10 ต.บ้านม่วง อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี นายปุ่น ชรินทร์ อายุ53ปี อยู่บ้านเลขที่ 116 หมู่1 ต.ดงเหนือ อ.บ้านม่วง จ.สกลนคร น.ส.อ้อยทิพย์ ปัญญารักษ์ อายุ 28 ปี อยู่บ้านเลขที่ 33 หมู่14 ต.นาม่อง อ.กุดบาก จ.สกลนคร ร่วมยึดของกลางได้74รายการ ประกอบด้วย บ้สน2หลัง,โฉนดที่ดิน 14แปลง,รถยนต์หรู14คัน ,รถจักรยานยนต์ 11คัน ,รถเพื่อการเกษตร2คัน ,บัญชีเงินฝาก 29รายการ,ทองรูปพรรณและเงินสดมูลค่า1.5ล้านบาท รวมมูลค่าทรัพย์สินกว่า 100 ล้านบาท

    พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ กล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องมาจาก ตำรวจบช.ปส.สืบทราบว่ามีเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือลักลอบนำยาเสพติดจากประเทศเพื่อนบ้านเข้าสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือลำเลียงสู่พื้นที่ตอนใน ส่งต่อจังหวัดชายแดนภาคใต้ และส่งออกไปประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้ระหว่างปี 2558-2559 มีการจับกุมผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ 4 คดี จำนวนยาบ้ากว่า 5 ล้านเม็ด และขยายผลจนทราบว่าทั้งหมดมีความเกี่ยวข้องกับเครื่อข่ายค้ายาเสพติดของนายไซซะนะ จากนั้นพนักงานสอบสวนบช.ปส.จึงได้ขออนุมัติออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการได้ทั้งสิ้น 9 ราย เป็นชาวไทย 7 ราย และชาวต่างชาติ 2 ราย คาดว่าน่าจะมี 2 คนที่กำลังหลบหนีอยู่ภายในประเทศ คือ นายจันสี ทิดสิม และ น.ส.จิราภรณ์ วงแสนคำ ทั้งคู่เป็นชาวลาว

    พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ กล่าวต่อว่า เมื่อวาน(19 มกราคม) ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.ปส. โดยการสั่งการของพล.ต.ท.สมหมาย กองวิสัยสุข ผบช.ปส.นำกำลังเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ “ชัยยะสยบไพรี 60/1” เข้าค้นปิดล้อมเป้าหมาย 36 จุด และเข้าจับกุมตัวนายไซซะนะ แก้วพิมพา อายุ 41 ปี ได้ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิขณะเดินทางมาพักผ่อนในกรุงเทพฯนอกจากนี้ยังจับกุมผู้รวมขบวนการในพื้นที่ต่างอีก 3 ราย

    ด้าน พล.ต.ท.สมหมาย กล่าวว่าในกาาจับกุมในครั้งนี้เจ้าหน้าที่ต้องติดตามตัวนายไซซะนะมากว่า 5 ปี ผู้ต้องหาเป็นคนมีความรู้ในเรื่องการหลบหนี และระมัดระวังตัวมากแต่ต้องขอบคุณตำรวจชุดสะกัดกั้นของลาว และปปส.ลาว ที่มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันโดนตลอด เนื่องจากนายไซซะนั้นเป็นนักธุรกิจใหญ่ในประเทศลาว มีธุรกิจโรงเลื่อย ธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอีกหลายรายการ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจทางประเทศลาวไม่สามารถจับกุมได้ เพราะยังไม่พบการกระทำความผิดของนายไซซะในประเทศลาว แต่เมื่อประเทศไทยพบการกระทำความผิดของนายไซซะนะและสามารถออกหมายและสามารถจับกุมได้ ตำรวจสะกัดกั้นและ ป.ป.ส.จึงได้ช่วยดำเนินการทางด้านการยึดทรัพย์ และตรวจสอบยึดทรัพย์สินต่างๆที่ได้มาจากการกระทำความผิด 

    “นอกจากนี้ทางบช.ปส.ยังบูรณาการทำงานรวมกับ ป.ป.ส.และ ปปง.ด้วย โดยมีการแรกเปลี่ยนข้อมูล จนสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ ในส่วนของผู้สั่งการนั้นหลักฐานของทาง บช.ปส.อาจจะดำเนินการทางด้านคดีไม่ได้ถึงที่สุด แต่เมื่อมี ปปง.เข้ามาช่วยในเรื่องของการสืบสวนเส้นทางการเงินและและอายัดทรัพย์ทั้งหมดที่ได้มาการการกระทำความผิดนั้น เป็นการถอนรากถอนโคนแก๊งค้ายาเสพติดรายนี้” พล.ต.ท.สมหมาย กล่าว
    พล.ต.ท.สมหมาย กล่าวด้วยว่า เมื่อวาน(19 ม.ค.)มีการเข้าค้นจุดเป้าหมายไปแล้ว 11 จุด และในวันนี้(20 ม.ค.)ได้มีการเข้าค้นเป้าหมายอีก 25 จุดในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค1 ,ภาค4 และภาค5 ในจ.นนทบุรี จ.ปทุมธานี จ.อุดรธานี และจ.เชียงใหม่ คาดว่าน่าจะได้ทรัพย์สินที่ได้จากการค้ายาเสพติดเครือข่ายนายไซซะน่ะไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท โดยขบวนการนี้ถือเป็บขบวนค้ายาเสพติดรายใหญ่รายหนึ่งในอาเซียน โดยใหญ่กว่าเครือข่าย “เล่าต๋า แสนลี่” เนื่องจากขนส่งยาเสพติดด้วยรถ ทำให้สามารถข้นไปในปริมาณมาก และยากต่อการจับกุมของเจ้าหน้าที่ นอกจากนี้ยังมีการส่งยาเสพติดข้ามประเทศไปยังมาเลเซีย สิงคโปร์ และเชื่อว่ามีการส่งยาเสพติดออกไปนอกอาเซียนด้วย อย่างไรก็ตามยังมีขบวนการค้ายาเสพติดรายใหญ่ในต่างประเทศ

    ขณะที่นายศิรินทร์ยา กล่าวว่าเครือข่ายมีการลำเลียงยาเสพติดจำนวนมากจับกุมได้ครั้งละ 1 - 2 ล้านเม็ด ก่อนหน้านี้จับได้เพียงคนรับขนต้องนำข้อมูลมาวิเคราะห์ และประสานข้อมูลกับทางการลาวอย่างใกล้ชิดเพื่อหาความเชื่อมโยง เพราะคนรับขนเองก็ไม่รู้ว่าคนจ้างเป็นใครต้องแกะรอยหาความเชื่อมโยงจากโทรศัพท์มือถือ และเส้นทางการเงินจนนำไปสู่การเอาผิดฐานสมคบกับผู้เกี่ยวข้องตามหมายจับทั้ง 9 คนโดยจะมีการประสานให้ปปง.เข้าไปติดตามทรัพย์สิน เพื่อดำเนินการอายัดทรัพย์ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เชื่อว่ากลุ่มคนเหล่านี้คงไม่สามารถชี้แจงที่มาทรัพย์สินได้แน่นอน อย่างไรก็ตามล่าสุดได้รับการประสานงานจากประเทศสิงคโปร์เกี่ยวกับการดำเนินการกับเครือข่ายของนายไซซะนะ เนื่องจากเครือข่ายดังกล่าวมีพฤติการณ์ลำเลียงยาเสพติดจากลาวเข้ามายังประเทศไทยก่อนส่งไปยังภาคใต้ และพบว่ามีการส่งยาเสพติดต่อไปยังประเทศสิงคโปร์และมาเลเซียด้วย

    สำหรับผู้ต้องหาตามหมายจับอีก 5 คนที่อยู่ระหว่างการติดตามจับกุมประกอบด้วย1.นายรัชศักดิ์ชำนาญกุลผู้ต้องหาตามหมายจับข้อหาสมคบฯ2.นายวันชัยภูพันรัตน์ผู้ต้องหาตามหมายจับข้อหาสมคบฯ3.นางจิราภรณ์วงแสนคำผู้ต้องหาตามหมายจับข้อหาสมคบฯ 4.นายไกรราชสุภาพผู้ต้องหาตามหมายจับข้อหาร่วมกันมียาเสพติดประเภท1ในครอบครองฯและ5.นายจันสีทิดสิมสัญชาติลาวผู้ต้องหาตามหมายจับข้อหาสนับสนุนช่วยเหลือผู้กระทำผิด