เตรียมสอบแม่วัยรุ่นอายุ 17 ปี จับลูกโยนกระแทกพื้นบาดเจ็บสาหัสก่อนเสียชีวิต
18 ม.ค. 60 เมื่อเวลา 14.30 น. ที่ ภาควิชานิติวิทยาศาสตร์ รพ.ศิริราช นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาเพื่อเด็กและสตรี พร้อม น.ส.นฤมล อ่องกลิ่น อายุ 39 ปี นายฟลุ๊ค ฉะชูนาค อายุ 20 ปี เดินทางมาเพื่อรับศพน้องเอ (นามสมมติ) เด็กหญิงวัย 5 เดือน ภายหลังเข้ารักษาตัวที่ รพ.ศิริราช ด้วยอาการ เลือดออกในสมองอย่างรุนแรง ซึ่งคาดว่าถูก น.ส.บี (นามสมมติ) อายุ 17 ปี ซึ่งเป็นมารดาของน้องเอ ทำร้ายร่างกายโดยการโยนลงพื้น ก่อนจะมีเพื่อนบ้านเข้ามาช่วยเหลือไว้ จากการเข้ารับการรักษาในห้องไอซียูเมื่อวันที่ 9 มกราคม ที่ผ่านมา ทางแพทย์ระบุว่า น้องเอบาดเจ็บด้วยอาการ กระดูกอ่อนคอหัก เลือดออกในสมอง และใบหูฉีก ซึ่งสาววัย 17 ปีที่เป็นมารดาให้การอ้างว่า ลูกของตนตกเปล จึงเกิดการบาดเจ็บขึ้น
น.ส.นฤมล เผยว่า ตนประกอบอาชีพเป็นแม่บ้านของ รพ.ศิริราช ไม่ได้มีเงินทองมากมายอะไร แม้แต่โลงศพของน้องเอยังไม่มีปัญญาซื้อ แต่ภายหลังคนใกล้ชิดทราบข่าวก็ให้กำลังใจและช่วยเหลือเงินมาบางส่วน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนเสียใจเป็นอย่างมาก เพราะหลานผู้หญิงคนเดียวกำลังอยู่ในวัยน่ารัก ซึ่งน้องเอเป็นคนเลี้ยงง่ายไม่เรื่องมาก จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนรู้สึกรับไม่ได้ ในวันเกิดเหตุไม่มีคนอยู่บ้าน ลูกชายกับตนต่างไปทำงาน แต่มีคนในชุมชนพบเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวกันหลายคน ตนยอมรับเคยมีปากเสียงกับสะใภ้คนนี้บ่อยครั้ง สาเหตุก็มาจากการเลี้ยงลูก โดยที่ผ่านมาสะใภ้ของตนซึ่งเป็นแม่ของเด็กนั้นหากโกรธหรือมีปัญหาอะไรก็จะมาลงกับลูก ตีลูก ทำร้ายลูก ซึ่งคนในชุมชนละแวกบ้านต่างก็รักก็หลงหลานสาว ห่วงหลาน บางครั้งก็สั่งสอนแนะนำสะใภ้ในเรื่องการเลี้ยงดู เช่น อาอากาศเย็นทำไมไม่หาเสื้อหนาวให้ใส่ แต่ตัวสะใภ้ก็มักจะกลับมาตีหลาน โทษว่าเป็นตัวการที่ทำให้ถูกชาวบ้านด่า นอกจากนี้ตัวลูกสะใภ้มักจะตีและด่าหลานสาวว่าเป็นคนที่แย่งความรักไปจากตัวลูกชาย ซึ่งลูกและตนก็อธิบายพูดคุยหลายครั้งว่า รักทั้งแม่และลูกเท่าๆ กัน
นายฟลุ๊ค เผยว่า ตนคบกับแฟนสาวคนนี้ได้ประมาณ 2 ปีเศษ ไม่ได้จดทะเบียน ก่อนคบหากัน แฟนสาวนิสัยส่วนตัวเป็นคนอารมณ์รุนแรงและขี้หึงมาก กระทั่งมีลูกด้วยกัน ซึ่งตนอยากมีมานานแล้ว แต่แฟนสาวไม่อยากมี ขณะท้องพยายามที่จะเอาลูกออกด้วยการทำแท้ง บางครั้งทุบท้องตัวเองรวมทั้งแกล้งตกบันไดเพื่อให้แท้งลูกคนนี้ แต่ตนก็ได้สอนเรื่องของบาปบุญคุณโทษกับแฟนจนคลอดลูกคนนี้ออกมา ส่วนเรื่องการทำร้ายลูกตนก็ได้ยินจากชาวบ้านมาบ่อยครั้งขณะที่ตนไปทำงานเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยหรือไม่มีคนอยู่บ้าน แต่ทุกครั้งก็จะรีบไปดูลูกพร้อมสอบถามแฟนสาวว่าทำลูกทำไม แต่ไม่เคยได้เหตุผลจากปากแฟนสาวแม้แต่ครั้งเดียว ก่อนจะด่าตนว่าอย่ามายุ่ง ซึ่งทุกครั้งลูกจะมีบาดแผลที่บริเวณแขน ขา ใบหน้าทุกครั้ง ต่อจากนี้ก็อยากให้เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย อยู่ที่ว่าตำรวจจะว่าอย่างไร ส่วนศพนั้นจะนำไปประกอบพิธีทางศาสนาที่วัดอนงคารามวรวิหาร แขวงสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กทม. เป็นเวลา 1 คืน ก่อนฌาปนกิจศพในช่วงบ่ายวันที่ 19 มกราคม นี้
น.ส.นฤมล กล่าวต่อว่า “อยากจะถามผู้กระทำว่า ทำไปเพื่ออะไร แม้แต่คุณหมอโทรเรียกให้มาดูใจก่อนน้องจะเสีย ก็ตอบกับหมอไปว่า ไม่อยากไป อีกทั้งอยากฝากไปว่า หากจะมาเป็นห่วงลูกตอนนี้มันสายไปแล้ว หากเด็กรอดแต่พิการจะรับได้ไหม ก่อนหน้านั้นเคยบอกว่า ตนจะอาสารับไว้เลี้ยงเอง แต่ก็ไม่ยอม บอกว่าคลอดเองเลี้ยงเองได้ เพราะหากลูกอยู่กับย่าลูกจะนิสัยไม่ดี แต่หากอยู่กับตนลูกจะไม่เลวแต่จะตายเลย ตนจึงวิงวอนขอความเป็นธรรมที่ต้องเสียหลานสาวที่น่ารักไป”
พ.ต.อ.ชัยวัฒน์ อรัญวัฒน์ รอง ผบก.น.8 เผยว่า จากการเข้ารับฟังผลการผ่าพิสูจน์สาเหตุการเสียชีวิตเบื้องต้นพร้อมญาตินั้น แพทย์ผู้ผ่าพิสูจน์ได้ให้สาเหตุการเสียชีวิตมาจาก เลือดคั่งในสมองเนื่องจากกะโหลกศีรษะแตก ในส่วนของคดีนั้นเบื้องต้นสอบสวนพยานไปบางส่วนแล้ว ในส่วนการสอบปากคำแม่ของเด็กนั้นซึ่งเป็นเยาวชนอายุ 17 ปี ต้องทำการประสานนักวิทยาการและนักสังคมสงเคราะห์ และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมสอบปากคำแม่ว่าเป็นผู้กระทำการดังกล่าวจริงหรือไม่ อย่างไรก็ดี จะได้ทำการสอบสวนและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายอย่างถึงที่สุด
นางปวีณา เผยว่า ภายหลังจากคุณย่าและผู้หวังดีเข้าแจ้งกับมูลนิธิ ซึ่งตนเองก็ได้สอบถามรายละเอียดด้วยตนเอง กระทั่งพาเข้าพบ พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ ตงเต๊า ผบก.น.8 ก่อนจะเดินทางไปที่เกิดเหตุ จนทราบข่าวที่น่าเสียใจเป็นอย่างยิ่งว่า น้องได้เสียชีวิตลงแล้ว จึงได้มีการพูดคุยถึงสาเหตุการเสียชีวิตและเดินทางมาเพื่อรับฟังผลการผ่าพิสูจน์ ในส่วนของการช่วยเหลือและดูแล ทางมูลนิธิฯ ได้ช่วยเหลือเงินจำนวน 10,000 บาท ส่วนทาง พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ ได้มอบสมทบเป็นค่าทำศพอีกจำนวน 5,000 บาท เนื่องจากทราบมาว่าครอบครัวค่อนข้างยากจน แม้แต่ค่าโลงศพยังไม่มีเงินซื้อ ต่อจากนี้ในส่วนของคดีนั้นคงต้องมอบให้ทางตำรวจเป็นผู้ดำเนินคดีและค้นหาความจริง ส่วนการช่วยเหลือและเยียวยานั้น ทางมูลนิธิฯ ก็พร้อมที่จะดูแลต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง