ข่าว

ปิดคดีทมิฬ เบื้องหลัง พ.ต.อ.สั่งอุ้มฆ่าสาวทอม

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เหตุการณ์นายตำรวจยศ “พ.ต.อ.” สั่งทีมสังหารอุ้มฆ่า “น.ส.สุภัคสรณ์ พลไธสง” ทอม อายุ 28 ปี

 

กลายเป็นคดีสะเทือนขวัญที่ใครๆ ต้องรู้สึกสลดใจกับความโหดเหี้ยม ลงมือกระทำกับเหยื่อที่เป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ โดยเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้แวดวงสีกากีต้องมีมลทินอีกครั้ง แม้จะเป็นเพียงปลาเน่าตัวเดียวในข้องก็ตาม

1 เดือนหลังจาก “น.ส.สุภัคสรณ์" ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์อุ้มขึ้นรถยนต์กระบะยี่ห้อนิสสันสีดำ รุ่นนาวาร่า หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยจนนำไปสู่การเข้าร้องทุกข์ของพ่อแม่ของเหยื่อกับ พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น. ซึ่งจากนั้นชุดสืบสวนได้เร่งคลี่คลายคดีจนนำไปสู่การออกหมายจับผู้ก่อเหตุทั้ง 7 คน โดยหนึ่งในนั้นเป็นถึงนายตำรวจระดับผู้กำกับการของ สภ.บ้านโป่ง

ย้อนเหตุการณ์ทมิฬดังกล่าวเกิดขึ้นช่วงกลางดึกของคืนวันที่ 13 ธันวาคม 2559 กลุ่มชายฉกรรจ์ 5 คนวนเวียนอยู่บริเวณหน้าอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง ภายในซอยเพชรเกษม 114 แขวงหนองค้างพลู เขตหนองแขม กรุงเทพฯ ก่อนจะบุกอุ้มตัว “น.ส.สุภัคสรณ์" ขึ้นรถหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

ปิดคดีทมิฬ เบื้องหลัง พ.ต.อ.สั่งอุ้มฆ่าสาวทอม

ขณะเกิดเหตุชาวบ้านในละแวกนั้นที่เห็นเหตุการณ์ไม่มีใครกล้าเข้าช่วยเหลือ ทุกคนทำได้แค่เพียงตะโกนร้องให้ “น.ส.กรรณิกา กรุมรัมย์” หรือดาว อายุ 38 ปี เพื่อนสาวคนสนิทของ น.ส.สุภัคสรณ์ ออกมาดูเหตุการณ์ ซึ่งหลังเกิดเหตุ น.ส.กรรณิกา เดินทางไปแจ้งความว่าเพื่อนสนิทถูกลักพาตัวกับพนักงานสอบสวน สน.หนองค้างพลู

ถัดมาเพียงไม่กี่วันการหายตัวของ น.ส.สุภัคสรณ์ รู้ถึงหูพ่อแม่ที่พักอาศัยอยู่ที่จ.สระแก้ว เพราะไม่สามารถติดต่อลูกสาวได้เหมือนทุกวันที่ผ่านมา จึงโทรศัพท์มือถือหา น.ส.กรรณิกา เพื่อสอบถามความเป็นอยู่ของลูกสาว แต่กลับได้รับคำตอบทำนองว่า ลูกสาวถูกลักพาตัว แต่ไม่ต้องวิตกกังวล เพราะน่าจะถูกอุ้มตัวไปสั่งสอนเท่านั้น

จากคำพูดของเพื่อนสาวคนสนิททำให้พ่อแม่ของน.ส.สุภัคสรณ์ถึงกับล้มทั้งยืนด้วยความตกใจ เพราะก่อนหน้านี้ลูกสาวเคยเล่าให้ฟังว่า คบหากับ น.ส.กรรณิกา ทำงานเป็นนักร้องอยู่ที่ร้านอาหารแห่งเดียวกัน ย่านพุทธมณฑลสาย 4 นานหลายปี และก่อนหน้านี้เคยถูกดักทำร้ายร่างกาย อีกทั้งรถยนต์ถูกทุบได้รับความเสียหาย โดย น.ส.สุภัคสรณ์ เชื่อว่า นายตำรวจยศ “พันตำรวจเอก” ซึ่งมีความสนิทสนมกับ น.ส.กรรณิกา น่าจะมีส่วนรู้เห็นกับสิ่งที่ถูกตนเองกระทำ เพราะหลังจากลูกสาวถูกทำร้ายไม่นานนัก น.ส.กรรณิกา นำเงินสดจำนวน 6 หมื่นบาทมาให้ น.ส.สุภัคสรณ์ โดยอ้างว่านายตำรวจคนนี้ฝากมาให้เพื่อให้ “จบเรื่อง”

ด้วยความวิตกกังวลที่ น.ส.สุภัคสรณ์ หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทำให้พ่อแม่และญาติพี่น้องของสาวเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายตัดสินใจโพสต์ข้อความ พร้อมรูปบัตรประชาชนของ น.ส.สุภัคสรณ์ ลงในเฟซบุ๊ก เพื่อให้สังคมออนไลน์ช่วยกันแชร์ข้อมูล ขณะเดียวกันได้เดินทางมาร้องขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ก่อนจะเข้าขอความเป็นธรรมกับ พล.ต.ท.ศานิตย์ เพื่อให้ช่วยติดตามหาตัว

21 ธันวาคม 2559 พล.ต.ท.ศานิตย์ สั่งการให้ชุดสืบสวนของ บก.สส.บช.น. เร่งรัดสืบสวนสอบสวนคดีที่เกิดขึ้น เพราะเกรงว่าเหยื่อไม่ได้รับความปลอดภัย และอาจจะเสียชีวิตแล้ว โดยมอบหมายให้พล.ต.ต.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ รรท.ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบก.สส.บช.น. พร้อมชุดสืบสวนของ กก.1 บก.สส.บช.น. ร่วมกับชุดสืบสวนของ กก.สส.บก.น.9 และชุดสืบสวนของ สน.หนองค้างพลู ขยายผลหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม

ชุดสืบสวนทำงานอย่างหามรุ่งหามค่ำ โดยเริ่มแกะรอยจากวันเกิดเหตุด้วยภาพจาก “กล้องวงจรปิด” ที่บันทึกภาพเหตุการณ์ขณะกลุ่มชายฉกรรจ์ลักพาตัว น.ส.สุภัคสรณ์ จากนั้นได้ไล่เส้นทางหลบหนีของคนร้ายจากถนนเพชรเกษม มุ่งหน้า อ.สามพราน ผ่าน จ.นครปฐม เข้าตัวเมือง จ.ราชบุรี ผ่าน อ.บ้านโป่ง มุ่งหน้าตัวเมือง จ.กาญจนบุรี ก่อนที่กล้องวงจรปิดบันทึกภาพสิ้นสุดได้ที่อ.ท่ามะกา

ขณะเดียวกันชุดสืบสวนเชิญตัว น.ส.กรรณิกา มาสอบสวนถึงความสัมพันธ์กับ น.ส.สุภัคสรณ์ หลังได้ข้อมูลจากพยานแวดล้อมว่าเหยื่อคนนี้เคยขู่เอาชีวิต แต่ น.ส.กรรณิกา ปฏิเสธว่าไม่เคยข่มขู่ และไม่เคยบอกพ่อแม่ของ น.ส.สุภัคสรณ์ ว่าถูกอุ้มไปสั่งสอน ซึ่งการให้ปากคำครั้งนี้ชุดสืบสวนไม่ปักใจเชื่อ เนื่องจากขัดแย้งกับพยานหลักฐานที่ชุดสืบสวนรวบรวมได้ อีกทั้งสายข่าวของชุดสืบสวนให้ข้อมูลเบาะแสคดีนี้ว่า “นาย ส.” (ขอสงวนชื่อนามสกุล) กำนันใน อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี น่าจะรู้เห็นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ช่วงเย็นของวันที่ 9 มกราคม ชุดสืบสวนของตำรวจนครบาลเดินทางไปที่กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 7 เพื่อวางแนวทางการติดตามหา น.ส.สุภัคสรณ์ ขณะเดียวกันชุดสืบสวนบางส่วนได้สอบปากคำ นาย ส. ซึ่งให้ความร่วมมือในการสืบสวนสอบสวนว่า รู้เห็นว่านายตำรวจคนดังกล่าวมีปัญหาความเดือดร้อนให้ช่วยหาทีมงานดำเนินการแต่ตนเองไม่อยากทำ จึงให้นายตำรวจติดต่อกับลูกน้องอีกคน

คำบอกเล่าของนาย ส. พยานปากสำคัญในคดีถูกนำเข้าสู่สำนวนการสอบสวนซึ่งพยานปากนี้ระบุว่า “นายนิวัฒน์ สวยทอง” อายุ 32 ปี เกี่ยวข้องและรู้เห็นมากที่สุด ซึ่งภายหลังชุดสืบสวนได้เชิญตัวนายนิวัฒน์มาซักถามได้ความว่า นายตำรวจคนนี้เข้ามาขอความช่วยเหลือโดยอ้างว่า กำลังมีปัญหากับเหยื่อที่เป็นทอม เนื่องจากไปมีความสนิทสนมแนบแน่นกับ น.ส.กรรณิกา หญิงสาวที่ตนเองติดพันอยู่ พร้อมให้เหตุผลหลายเรื่องในทางที่ไม่ดีกับเหยื่อ จึงตัดสินใจรับงานในราคา 2 แสนบาท โดยจัดการวางแผน และจัดหาทีมงานก่อนจะลงมือลักพาตัวเหยื่อนานถึง 1 เดือน

ประเด็นสำคัญที่ชุดสืบสวนให้ความสนใจมากที่สุด คือ นายนิวัฒน์ ให้ปากคำว่า “ทอมถูกนำมากักตัวที่เมืองกาญจนบุรี 1 คืนในวันรุ่งขึ้นมีทีมงานอีก 3 คนพาตัวออกไปฆ่า แต่ไม่รู้ว่าสถานที่ใด”

นอกจากนี้นายนิวัฒน์ ให้ปากคำซัดทอดเพิ่มเติมว่า วันเกิดเหตุที่เดินทางไปอุ้มตัว น.ส.สุภัคสรณ์ ออกจากที่พักนั้นมีบุคคลที่ร่วมก่อเหตุประกอบด้วย นายชัยยุทธ เบ็ญจชาติ อายุ 41 ปี และนายภาณุเมศวร์ มีลา อายุ 34 ปี ทหารสังกัดหนึ่ง นายภูมิทัศน์ พิบูรณ์สวัสดิ์ อายุ 24 ปี และนายสามารถ แสงสิน อายุ 50 ปี อดีตทหารที่ถูกให้ออกจากราชการเพราะพัวพันคดีฆาตกรรมนักเลงชื่อดัง ส่วนทีมที่นำเหยื่อไปฆ่าคือ นายชัยยุทธ นายภาณุเมศวร์ และ นายสามารถ

การให้ปากคำของนาย ส. และคำซัดทอดของนายนิวัฒน์ ทำให้ พ.ต.ท.อดิศร แก้วโหมดตาด พนักงานสอบสวน สน.หนองค้างพลู นำไปประกอบสำนวนเสนอศาลจังหวัดตลิ่งชันพิจารณาอนุมัติหมายจับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องทั้งหมดรวม 7 คน โดย “พ.ต.อ.อำนวย พงษ์สวัสดิ์" ผกก.สภ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ถูกออกหมายจับในข้อหาใช้จ้างวานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ปิดบังซ่อนเร้นอำพรางทำลายศพเพื่อปิดบังการตาย ซึ่งถือเป็นการปิดคดีสะเทือนขวัญที่มีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ยศพันตำรวจเอกตกเป็นผู้ต้องหาบงการฆ่าเหยื่ออย่างเลือดเย็น เพียงเพราะความ "หึงหวง" เป็นชนวนเหตุจุดเชื้อไฟเท่านั้น...

                                                                                            ทีมข่าวอาชญากรรม

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ