ข่าว

ผู้เชี่ยวชาญตรวจ‘กัมมันตรังสี’ซอยพหลฯ24

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ส่งผู้เชี่ยวชาญฉุกเฉินเข้าพื้นที่ตรวจสอบสารกัมมันตรังสี ย่านซอยพหลโยธิน 24 เตือนอย่าแตกตื่นแค่บรรจุในกล่องวางทิ้งไว้ในโกดังเก่า ตำรวจยันไม่รั่วไหล

              เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 12 พฤษภาคม ร.ต.ท.ไชยวัฒน์ พลหาญ รอง สว.(สอบสวน) สน.พหลโยธิน ได้รับแจ้งเหตุพบวัตถุที่มีการปิดผนึก ติดสติ๊กเกอร์สารเคมีอันตราย ภายในอาคารพาณิชย์ ที่อยู่ระหว่างการปรับปรุงก่อสร้าง ภายในซอยพหลโยธิน 24 แยก 2-1 แขวงจอมพล เขตจตุจักร กทม. จึงรายงานผู้บังคับบัญชา ไปตรวจสอบพร้อมด้วยพล.ต.ต.เจริญ ศรีศศลักษณ์ ผบก.น.2 พ.ต.อ.ภาณุเดช สุขวงศ์ ผกก.สน.พหลโยธิน เจ้าหน้าที่สำนักงานบรรเทาสาธารณภัย พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติวิธี

              ที่เกิดเหตุเป็นอาคารสำนักงานสูง 2 ชั้น บริเวณชั้น2พบวัตถุขนาดเท่ากับแบตเตอร์รี่ขนาดเล็กกว้าง 12 นิ้ว สูง 8 นิ้ว หนา 4-6นิ้ว มีการปิดผนึก ติดสติ๊กเกอร์สารเคมีอันตราย เจ้าหน้าที่ได้มีการปิดล้อมสถานดังกล่าวไว้พร้อมเตรียมอุปกรณ์ เครื่องวัดสารกัมมันตรังสีเพื่อนำไปตรวจสอบว่าสารเคมีดังกล่าวมีการรั่วซึมรั่วไหลออกมาหรือไม่ จากการพิจารณาภาพ ที่ขยายตัวอย่างสารเคมีดังกล่าว เจ้าหน้าที่สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติวิธีประเมินว่าสารเคมียังอยู่ในสภาพปิดผนึกยืนยันได้แต่เพียงว่าเป็นสารกัมมันตรังสีแต่ยังไม่ทราบชนิดและไม่ทราบว่ามีการรั่วไหลออกมาจริงหรือไม่เบื้องต้นต้องนำอุปกรณ์ไปตรวจวัด เพื่อดูว่าวัตถุดังกล่าวมีสารเคมีรั่วซึมหรือไม่และพิจารณาจากสภาพต่อไปว่าเป็นสารชนิดใดมีปริมาณมากน้อยเพียงใดจึงจะสามารถสรุปได้ว่าสารเคมีที่ตรวจพบจะเป็นอันตรายต่อผู้ที่พักอาศัยในบริเวณใกล้เคียงหรือไม่
 

ผู้เชี่ยวชาญตรวจ‘กัมมันตรังสี’ซอยพหลฯ24

              น.ส.พิมพ์ชยา สุรสาระพันธุ์ ผู้ดูแลอาคารดังกล่าวเปิดเผยว่า อาคารถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสำนักงาน แต่เจ้าของอาคารนั้นเสียชีวิตไปตั้งแต่ 6-7ปีที่แล้วหลังจากนั้นได้มีชาวเกาหลีซึ่งเป็นเพื่อนกับเจ้าของได้เช่าอาคารนี้ต่อ แต่ไม่ได้มีการปรับปรุงแซ่มตัวอาคาร เพียงแต่ได้ใช้ที่อยู่ของอาคารไปจดทะเบียนสำนักงานที่จังหวัดระยอง และจะเดินทางเข้ามาที่อาคารนี้บ้างเป็นครั้งคราว อย่างไรก็ตามขณะนี้ได้เดินทางกลับประเทศเกาหลีไปแล้ว ส่วนตนนั้นอาศัยอยู่ที่บริเวญชั้น1ของอาคารดังกล่าว หลังจากที่ชาวเกาหลีคนดังกล่าวเดินทางกลับประเทศไป ตนก็คิดว่าจะย้ายออกจึงไป เก็บของใช้ส่วนตัวภายในอาคาร แต่กลับไปเจอวัตถุดังกล่าวจึงได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเพราะเกรงว่าจะเป็นอันตรายกับชาวบ้านโดยรอบ ทั้งนี้ตนคิดว่าจะเป็นชาวเกาหลีที่มาเช่าเป็นผู้เอามาวางไว้

              ด้าน พล.ต.ต.เจริญ ศรีศศลักษณ์ ผบก.น.2 กล่าวว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบเป็นกล่องโลหะสารเคมี 1 กล่อง ปิดฝาแน่นหนา โดยข้างกล่องเขียนว่าซีเซียม 137 ทั้งนี้ยืนยันว่าไม่พบร่องรอยการรั่วไหล จึงยังไม่พบอันตรายในตอนนี้ และไม่ต้องกันประชาชนออกนอกพื้นที่ อย่างไรก็ตามต้องรอให้เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบสารภายในโลหะดังกล่าวว่ามีอันตรายหรือไม่ นอกจากนี้ยังไม่แจ้งข้อหากับบุคคลใดทั้งสิ้น อยู่ระหว่างตรวจสอบว่าสารดังกล่าวถูกกำหนดห้ามครอบครองหรือไม่

              ขณะที่นายเทวฤทธิ์ เครือมณี ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานเขตจตุจักร กล่าวว่า สอบถามทราบว่าบ้านหลังดังกล่าวเคยให้ชาวเกาหลีเช่า ซึ่งทำงานที่โรงงานจ.ระยอง ก่อนที่ชาวเกาหลีจะเดินทางกลับไป โดยทิ้งกล่องโลหะดังกล่าวไว้ ตรวจสอบพบว่าสารดังกล่าวใช้ในอุตสาหกรรมเกี่ยวกับภาพถ่าย ทั้งนี้ ไม่สามารถมีไว้ในครอบครองได้ ดังนั้นจึงต้องให้ตำรวจสน.พหลโยธินดำเนินคดีด้วย

              ขณะที่ดร.พิเชษฐ ดรุงคเวโรจน์ รมว.วิทยาศาสตร์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบวัตถุดังกล่าวพบว่าภายในเป็นสารอิริเดียม 192 โดยหมดอายุตั้งแต่ ค.ศ.1995 ทำให้ขณะนี้ไม่เป็นอันตราย โดยวัตถุดังกล่าวมีลักษณะเป็นแท่ง ใช้ในการถ่ายภาพด้วยรังสีแกมม่า เพื่อตรวจาอบรอยรั่ว รอยร้าวของท่อ ที่ใช้ในอุตสาหกรรมโรงงานก๊าซธรรมชาติ และไม่ใช่สารโคบอลต์  60 ดังที่มีกระแสข่าวออกไปก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามยืนยันว่าไม่มีการรั่วไหล และจะนำวัตถุดังกล่าวไปตรวจสอบอย่างละเอียดที่สำนักงานปรมณูเพื่อสันติต่อไป อย่างไรก็ดีวัตถุดังกล่าวนั้นจะครอบครองหรือนำเข้าจะต้องได้รับใบอนุญาต เพราะเจ้าหน้าที่จะต้องตรวจสอบสถานที่เก็บว่ามีที่สถานเหมาะสมหรือไม่ รวมทั้งจะต้องเข้าไปตรวจสอบวัตถุดังกล่าวเป็นระยะเพื่อต่อใบอนุญาตและป้องกันอันตราย แต่ในส่วนการเคลื่อนย้ายกรณีดังกล่าวถือว่าผิดกฎหมาย

              ดร.อัจฉรา วงศ์แสงจันทร์ เลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติว่า ภายหลังได้รับแจ้งจากประชาชน ซึ่งโทรศัพท์เข้ามาแจ้งที่สาย HOTLINEว่าพบสารเคมีที่อาจจะเป็นอันตรายนั้น ทางเราได้ส่งผู้เชี่ยวชาญฉุกเฉิน พร้อมอุปกรณ์ ไปยังที่เกิดเหตุประมาณ 4-5 คน เข้าไปตรวจสอบพร้อมอุปกรณ์ว่า สารเคมีที่พบนั้นคืออะไร  ซึ่งเบื่้องต้นน่าจะเป็นอุปกรณ์ รังสีแกรมม่าทางอุตสาหกรรมถ่ายภาพ  ซึ่งเมื่อผู้เชี่ยวชาญถึงพื้นที่ก็จะทราบว่าจะต้องทำอย่างไร ซึ่งตอนนี้ขอเวลาให้ทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบอย่างละเอียดก่อน

              “เราได้ทำการกั้นพื้นที่ดังกล่าวให้เป็นพื้นที่ห้ามเข้า ห้ามประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปยังพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งคำแนะนำและไม่อยากให้ประชาชนแตกตื่น คือ ต้องให้ความมั่นใจกับเจ้าหน้าที่ เพราะเจ้าหน้าที่อยู่ในสถานการณ์แล้ว ต้องเชื่อฟังเจ้าหน้าที่ว่าจะต้องปฎิบัติอย่างไร ขอประชาชนอย่าแตกตื่น” ดร.อัจฉราระบุ

              ด้านพล.ต.ท.ศานิตย์ กล่าวว่า บนวัตถุมีการระบุรหัสเนมเพรท ซึ่งจะระบุว่าบุคคลใดเป็นเจ้าของ ตำรวจจะประสานขอข้อมูลไปยังสำนักงานปรามณูเพื่อสันติ เพื่อดำเนินคดีกับเจ้าของต่อไป

 

.......................

(หมายเหตุ : ขอบคุณภาพจาก เครดิตภาพ: คำรพ 03 ศูนย์ข่าวคำรพ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ แผนกอาสาสมัคร มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง)

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ