ข่าว

ป่วน!มือมืดกระหน่ำยิงการ์คคปท.ดับ1เจ็บ3

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ป่วน!มือมืดซิ่งเก๋งกระหน่ำยิง'การ์คคปท'สังเวยอีก 1 เจ็บ 3 คาสะพานชมัยฯ ด้านตร.เร่งตรวจสอบกล้องวงจรปิด

             เมื่อเวลา 03.15 น. วันที่ 28 ธันวาคม ร.ต.อ.สุรพล ใจห้าว พนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง ได้รับแจ้งว่า มีคนร้ายขับรถเก๋งยี่ห้อโตโยต้า รุ่นอัลติส สีบรอนซ์ทอง ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน จากแยกนางเลิ้ง ถนนพิษณุโลก โดยเมื่อมาถึงแยกพณิชยการคนร้ายได้ลดกระจกลงแล้วเปิดฉากใช้อาวุธยิงใส่กลุ่มการ์ด คปท.ที่จับกลุ่มรักษาการณ์กันอยู่บริเวณเชิงสะพานชมัยมรุเชฐ ก่อนจะรีบเร่งเครื่องเลี้ยวขวาหนีไปทางถนนพระราม 5
 
             หลังเกิดเหตุพบว่า กระสุนถูกนายยุทธนา องอาจ อยู่บ้านเลขที่ 107 หมู่ 10 ต.ด่านสวี อ.สวี จ.ชุมพร เข้าชายโครงขวา ทะลุซ้าย อาการสาหัส เจ้าหน้าที่กู้ภัยที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุรีบนำตัวส่ง รพ.กลาง แต่ผู้บาดเจ็บเสียชีวิตในเวลาต่อมา นอกจากนี้ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บ ทราบชื่อคือ นายเสน่ห์ โลหะศาสตร์ ถูกยิงที่ข้อเท้าซ้าย นำส่ง รพ.ราชวิถี, นายสุรพงษ์ สมแคล้ว อายุ 19 ปี ถูกยิงเข้าตามร่างกาย 2 นัด และนายประวิทย์ ทองแปรง อายุ 25 ปี มีแผลถูกยิงบริเวณเหนือหัวเข่า ทั้งคู่ถูกนำตัวส่ง รพ.รามาธิบดี
 
             สอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุมีรถกระบะยี่ห้อนิสสัน รุ่นนาวาร่า ไม่ทราบสีและทะเบียน ขับนำหน้ารถเก๋งคันก่อเหตุเข้ามา ก่อนจะจอดและเปิดฉากยิงใส่การ์ดกลุ่มผู้ชุมนุม หลังเกิดเหตุ พ.ต.ท.ชนะสงคราม แก้วเงิน รอง ผกก.สส.สน.นางเลิ้ง และ พ.ต.ท.จารุภัทร ทองโกมล รอง ผกก.สน.ดุสิต พร้อมชุดสืบสวน ได้เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุพบหัวกระสุนไม่ทราบขนาด 4 นัด รอยกระสุนเจาะเข้าเครื่องปั่นไฟ ที่ตั้งอยู่กลางแยกพาณิชยการ และที่แท่งแบร์ริเออร์อย่างละนัด จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน จากนั้นรีบประสานขอตรวจภาพจากกล้องวงจรปิดของกรุงเทพมหานคร และสถานการศึกษาในละแวกใกล้เคียง เพื่อใช้เป็นเบาะแสในการติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุรายนี้มาดำเนินคดีต่อไป
 
             พล.ต.ต วิชาญญ์วิชร์ บริรักษ์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 เปิดเผยหลังเข้ามาตรวจสอบพื้นที่บริเวณที่เกิดเหตุว่า ยังไม่สามารถบอกได้ว่าอาวุธที่คนร้ายใช้คือกระสุนชนิดใด รวมถึงทิศทางวิถีกระสุน เนื่องจากต้องรอให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์มาตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง ส่วนการดูแลความเรียบร้อยบริเวณพื้นที่การชุมนุมนั้น ที่ผ่านมาได้ประสานขอตั้งด่านร่วมกับกลุ่ม คปท.มาตลอด แต่ไม่ได้รับความร่วมมือ หลังจากนี้จะร่วมกันทำงานมากขึ้น เพื่อดูแลมวลชนที่เข้าร่วมชุมนุม ขณะที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นการก่อเหตุที่อุกอาจ เพราะบริเวณโดยรอบมีการตั้งด่านตรวจ อีกทั้งคนร้ายใช้อาวุธสงคราม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างประสานขอภาพกล้องวงจรปิดจากกรุงเทพมหานคร


คปท.สั่งทำบังเกอร์-เพิ่มมาตรการรปภ.
 
             นายนัทเซอร์ ยีหมะ หัวหน้าการ์ด คปท.เปิดเผยกรณีเหตุการณ์กลุ่มชายฉกรรจ์ขับรถเก๋งมาจากทางแยกนางเลิ้งมาจอดตรงสะพานชมัยมรุเชฐ ใช้อาวุธปืนสงครามกราดยิงการ์ด คปท. ที่ยืนเฝ้าระวังเหตุการณ์อยู่บริเวณแนวรั้ว ด้านหลังเวทีปราศรัย จากนั้นหลบหนีไปทางแยกวัดเบญฯ ก่อนที่รถคันดังกล่าววิ่งวนไปที่แยกมิสกวัน แล้วกราดยิงในลักษณะเดิม เหตุเกิดเมื่อเวลา 03.15 น. ว่า ล่าสุดตรวจสอบแล้วพบว่ามีการ์ด คปท.ถูกยิงเสียชีวิต 1 ราย ทราบชื่อคือ นายยุทธนา องอาจ อายุ 26 ปี การ์ด คปท. ชาว อ.สวี จ.ชุมพร ถูกยิงเข้าที่บริเวณลำคอ เสียชีวิตที่ รพ.กลาง ส่วนผู้บาดเจ็บมี 3 ราย สำหรับผู้เสียชีวิตนั้นได้ส่งภาพถ่ายผู้ตายไปให้ญาติที่ จ.ชุมพร ยืนยันแน่นอนแล้ว ตอนแรกเข้าใจผิดว่าผู้ตายคือนายจำเรียง จิตรวัตร อายุ 31 ปี เพราะตรวจสอบจากสำเนาทะเบียนบ้าน ที่ตำรวจนำมาให้
 
             นายนัทเซอร์ กล่าวว่า ขณะเกิดเหตุการ์ด คปท.อยู่ในที่โล่ง จึงถูกคนร้ายขับรถเก๋งเข้ามากราดยิงเสียชีวิต ทั้งที่การ์ด คปท.ก็เฝ้าระวังอยู่แล้ว แต่คนร้ายเปิดกระจกรถและกราดยิง โดยใช้เวลาเพียงไม่นาน โดยช่วงเช้ามีพนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง มาเก็บพยานหลักฐาน ปลอกกระสุนปืนเอ็ม 16 และ 9 มม.พาราเบลลั่ม หลังจากนี้จำเป็นต้องจัดทำบังเกอร์ และแนวกำบังให้เข้มแข็งมากขึ้น เพื่อรักษาความปลอดภัย ส่วนจะมีมาตรการที่จะดำเนินการอย่างไรต่อไปกับตำรวจหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนั้น คงต้องรอประชุมปรึกษาระหว่างแกนนำ คปท.อีกครั้ง
 
             นายกิตติชัย ใสสะอาด ที่ปรึกษาด้านความปลอดภัย กลุ่ม คปท.ระบุว่า การรักษาความปลอดภัยหลังจากนี้ จะมีการตั้งด่านตรวจร่วมกับตำรวจ รวมถึงขยับแนวด่านตรวจให้ขยายบริเวณกว้างขึ้น และจะปิดเส้นทางบริเวณแยกนางเลิ้งและบริเวณวัดเบญจมบพิตร ซึ่งเชื่อว่าการกราดยิงครั้งนี้ เกิดจากความพยายามของคนกลุ่มหนึ่งเพื่อสร้างสถานการณ์ความรุนแรง


สธ.เผยคนตายถูกกระสุนทะลุลำตัว
 
             เวลา 10.20 น. ที่โรงพยาบาลสงฆ์ นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาสาธารณภัย ด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีชุมนุมทางการเมือง (ส่วนหน้า) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากเหตุมีการยิงเมื่อเวลาประมาณ 03.20 น. ที่บริเวณแยกพณิชยการ เชิงสะพานชมัยมรุเชฐ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย โดยถูกยิงกระสุนทะลุลำตัว และมีผู้บาดเจ็บอีก 3 ราย โดยรายแรกมีบาดแผลที่เข่าขวา นำส่ง รพ.รามาธิบดี ได้ล้างแผลและให้กลับบ้านเรียบร้อยแล้วเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา
 
             รายที่ 2 ถูกยิงที่หัวไหล่และคอ อยู่ระหว่างการผ่าตัดที่ รพ.รามาธิบดี และรายที่ 3 ถูกยิงที่เท้าและกระดูกหน้าแข้ง กำลังรอการผ่าตัดที่ รพ.ราชวิถี ทั้งนี้ ตั้งแต่เหตุปะทะบริเวณอาคารกีฬาเวสน์ สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม จนถึงเหตุการณ์ยิงที่สะพานชมัยมรุเชฐที่ผ่านมา มีผู้บาดเจ็บรวม 157 ราย เสียชีวิตรวม 3 ราย พักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 43 ราย
 
             นพ.ณรงค์ กล่าวอีกว่า การดูแลให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บยังคงเฝ้าระวังตามพื้นที่เสี่ยงเช่นเดิม 3 ส่วน คือ 1.พื้นที่ชุมนุมบริเวณถนนราชดำเนินนอก ราชดำเนินกลาง 2.พื้นที่ที่มีเจ้าหน้าที่ประจำการ หรือเป็นพื้นที่เชิงสัญลักษณ์ เช่น ทำเนียบรัฐบาล กองบัญชาการตำรวจนครบาล และ 3.พื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง คือ สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง และศูนย์ราชการฯ โดยยังเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับมูลนิธิร่วมกตัญญู มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และโรงพยาบาลสังกัด กทม. ผ่านศูนย์เอราวัณ และศูนย์นเรนทร โดยมีทีมกู้ชีพชั้นสูง 9 ทีม ร่วมกับทีมกู้ชีพพื้นฐานของมูลนิธิอีก 20 ทีม การดูแลเป็นไปตามที่ประเมินไว้คืออาจมีการเกิดเหตุบริเวณรอยต่อของการชุมนุม อย่างเหตุยิงที่สะพานชมัยมรุเชฐล่าสุดก็เป็นลักษณะที่คาดการณ์ไว้
 
             "ทีมปฏิบัติงานมีเพียงพอแน่นอน แต่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นด้วย ซึ่งเรามีการประเมินสถานการณ์ทุกวัน อย่างไรก็ตาม ระบบรับส่งต่อผู้ป่วยคงไม่มีปัญหา เพราะอย่างเหตุที่ดินแดงที่ดูสับสนนั้น ระบบส่งต่อมีการส่งอย่างดี สามารถส่งผู้บาดเจ็บกว่า 80 คน จาก 100 กว่าคนไปยังโรงพยาบาลได้ในระยะเวลาที่รวดเร็ว นอกจากนี้ทีมกู้ชีพพื้นฐานและทีมกู้ทีมชั้นสูง เมื่อรวมกันแล้วทุกภาคส่วนก็มีไม่ต่ำกว่า 80 ทีม น่าจะเพียงพอ แต่หากสถานการณ์รุนแรงก็จะขอกำลังจากเจ้าหน้าที่ในส่วนภูมิภาค ที่เป็นถนนสายรองเข้ามาเสริมทีมอีกทางหนึ่ง" นพ.ณรงค์ กล่าว

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ