ข่าว

อาก้าถล่ม'ทพ.ปัตตานี'ดับคาบ้าน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เกิดเหตุคนร้ายใช้อาก้ายิงถล่มทหารพรานดับคาบ้านที่ปัตตานี ขณะที่ 'มทภ.3' เยี่ยมทหารใต้บาดเจ็บ ยันดูแลเจ็บ-ตายเต็มที่ พอใจผลงานสกัดลอบขนยาเสพติดชายแดน

 

                            19 พ.ย. 56  เมื่อเวลา 06.45 น.  พ.ต.อ.ต่วนเดร์ จุฑานันท์ ผกก.สภ.เมือง จ.ปัตตานี รับแจ้งเกิดเหตุยิงกันตาย และบาดเจ็บ ที่หน้าบ้านเลขที่ 88 ม.3 บ้านตันหยงลีมอ ต.คลองมานิง อ.เมือง จ.ปัตตานี จึงไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมด้วย พ.ต.อ.ปราบพาล มีมงคล รอง ผบก.ภ.จ.ปัตตานี , นายเถกิงศักดิ์ ยกศิริ ปลัดจังหวัดปัตตานี ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด และตำรวจพิสูจน์หลักฐาน

                            เมื่อถึงที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้กันพื้นที่ก่อนเข้าไปตรวจ และให้ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดตรวจสอบก่อน เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ยิงกันบ่อยครั้งมาก เกรงว่าคนร้าย มีการลอบวางระเบิดไว้ หลังจากมั่นใจแล้ว จึงตรวจสอบปรากฏว่า ที่เกิดเหตุบนแคร่หน้าบ้าน มีแต่กองเลือด และพบปลอกกระสุนปืนอาก้า ตกเกลื่อนกลาดจำนวน 13 ปลอก ส่วนที่บ้านพบรอยกระสุนปืนเป็นรูกว่า 5 รู ส่วนคนถูกยิง รวม 3 คนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลปัตตานีแล้ว

                            ตรวจสอบทราบชื่อคือ นายอับดุลรอฮิม มะลี อายุ 31 ปี อดีตทหารพราน กรมทหารพรานที่ 43 ต.เมาะมาวี อ.ยะรัง จ.ปัตตานี มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนอาก้าพรุนทั้งใบหน้า ศีรษะ และลำตัว เสียชีวิต ส่วนนางฟาดีละ มะลี อายุ 26 ปี และนางสาวไซหนับ มะลี อายุ 23 ปี ทั้งสองมีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนชนิดเดียวกันที่บริเวณขาขวา บาดเจ็บ โดยทั้งสองเป็นน้องสาวผู้ตาย

                            จากการสอบสวนทราบว่า ผู้ตายได้นอนอยู่ที่แคร่หน้าบ้าน ส่วนน้องสาวทั้งสองที่บาดเจ็บ นั่งรับประทานข้าวยำที่ระเบียงบ้าน ขณะนั้นได้มีคนร้ายจำนวน 1 คนได้ออกจากที่ซุ่ม เดินมาที่หน้าแคร่ และใช้อาวุธปืนกราดยิงผู้ตายที่นอนอยู่ ตายคาที่ จากนั้นคนร้ายกราดยิงเข้าในบ้านอีก ทำให้ผู้บาดเจ็บต่างวิ่งหนีหาที่กำบังภายในบ้านและบาดเจ็บดังกล่าว ส่วนสาเหตุอยู่ระหว่างการสอบสวน ว่าเป็นเรื่องส่วนตัว หรือสถานการณ์ใต้

 

 

'มทภ.3' เยี่ยมทหารใต้บาดเจ็บ ยันดูแลเจ็บ-ตายเต็มที่

 

                            ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  เมื่อเวลา 09.00 น. ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ พล.ท.ปรีชา จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่3 ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมกำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติภารกิจภาคสนามในพื้นที่ 3จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 59 นาย

                            ทั้งนี้ พล.ท.ปรีชา กล่าวกับกำลังพลที่บาดเจ็บว่า ตนเคยปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในหน่วยเฉพาะกิจยะลา ตั้งแต่เดือน ต.ค.ปี 53 จนถึงเดือน ก.ย. 54 ทราบดีว่าการทำงานในพื้นที่สภาพจิตใจและร่างกายต้องมีความพร้อมตลอด 24 ชั่วโมง และต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างจริงจังโดยไม่นึกถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น จนทำให้กำลังพลส่วนหนึ่งเสียชีวิตและบาดเจ็บ ซึ่งในส่วนของผู้บังคับบัญชาระดับสูงตามลำดับชั้นในกองทัพบก โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) มีความห่วงใยพวกเราทุกคน และได้สั่งการให้ต้นสังกัดดูแลกำลังพลให้ดีที่สุดพร้อมทั้งหมุนเวียนกันเยี่ยมเยียนให้กำลังใจ

                            จากนั้น พล.ท.ปรีชา ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับมอบหมายจาก พล.อ.ประยุทธ์ ให้มาเป็นตัวแทนเยี่ยมกำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติงานใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 บางส่วน

                            "ส่วนกรณีที่ ผบ.ทบ.มีโครงการตามหาพลทหารที่ได้รับบาดเจ็บที่กลับบ้านไปแล้วนั้น ในส่วนของกองทัพภาคที่ 3 ได้มีการติดตามสภาพความเป็นอยู่ของพลทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งญาติของผู้เสียชีวิจจากการปฏิบัติงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยการติดตามดูแลสิทธิกำลังพลที่ควรจะได้รับ ซึ่งบางส่วนต้องใช้เวลาในการดำเนินการบางส่วนก็ได้รับเลย"

                            แม่ทัพภาคที่ 3 กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ตนได้มอบหมายให้ทาง กองพลทหารราบที่4 กองพลทหารม้าที่ 1 กองพลทหารราบที่ 7 ได้เข้าไปสำรวจดูแลครอบครัวผู้เสียชีวิต เช่นใน จ.นครศวรรค์ ก็มีครอบครัวพลทหารที่เสียชีวิต เมื่อพิจารณาถึงสภาพความเป็นอยู่ของภรรยาและบุตรจึงลงความเห็นว่าจะสร้างบ้าน และดำเนินการเสร็จไปแล้ว สำหรับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บนั้น หน่วยต้นสังกัดได้ติดตามด้านสิทธิกำลังพลต่างๆ พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือตามที่กำลังพลได้ร้องขอ ก็จะพยายามทำให้ดีที่สุดตามที่ ผบ.ทบ.ได้สั่ง

 

 

พอใจผลงานสกัดลอบขนยาเสพติดชายแดน

 

                            พล.ท.ปรีชา ให้สัมภาษณ์ถึงการสกัดกั้นยาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมายตามแนวชายแดนว่า ทางหน่วยที่ปฏิบัติภารกิจป้องกันแนวชายแดน จะแบ่งกำลังส่วนหนึ่งไปดูแลการลักลอบนำเข้ายาเสพติดจากภายนอกประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาการดำเนินการได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ในส่วนของพื้นที่ภายใน ทางกองทัพภาคที่ 3 ประสานงานร่วมกับกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดศูนย์ ปปส.ภาค 5 และตำรวจภูธรต่างๆ ในพื้นที่

                            "นอกจากนี้กองทัพภาคที่ 3 ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการประสานงานกำลังแผ่นดินต่อต้านยาเสพติดตามแนวชายแดนภาคเหนือ (ศปส.ชน.) ซึ่งการดำเนินการได้ผลดีโดยการบูรณาการงานด้านการข่าวที่ได้รับ"

                            พล.ท.ปรีชา กล่าวต่อว่า ในส่วนเครื่องมือที่จะช่วยเหลือการปฏิบัติงานของกำลังพลนั้น เบื้องต้นได้ใช้กำลังพลเป็นหลักในการสกัดกั้นยาเสพติด นอกจากนี้ยังคิดประดิษฐ์เครื่องมือขึ้นมาเองเพื่อช่วยการปฏิบัติงาน อีกส่วนก็ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพบก แต่สิ่งสำคัญคืองานด้านการข่าวที่จะต้องประสานงานกับทุกส่วนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่

 

 

เกาะติดมือประกอบระเบิด สกัดแผนป่วนใต้

 

                            พ.ต.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์กองกำอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เปิดเผย "ผู้สื่อข่าว" ถึงการตรวจสอบถึงแหล่งผลิตระเบิดของคนร้ายว่า คนร้ายมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบตลอดเวลา ซึ่งที่ผ่านมาได้วิเคราะห์เหตุการณ์ที่เป็นบทเรียน พอจะคาดเดาได้ว่า แหล่งที่ประกอบระเบิดที่ไหนบ้าง เช่น ก่อนหน้าที่มีการประเมิน อ.จะแนะ ทางส่วนหน้าก็เข้าไปดำเนินการและสามารถตรวจยึดได้จำนวนมากเมื่อปีที่ผ่านมา ถัดมาที่ อ.หนองจิก ในพื้นที่บางเขา เราก็เข้าไปทลาย

                            "เขาจะอยู่ไม่เป็นที่ เขาพยายามที่จะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบตลอด เราก็พยายามจะเกาะเพื่อเข้าไปทลายแหล่งประกอบวัตถุระเบิด ซึ่งได้ดำเนินการสำเร็จมาแล้วหลายครั้ง และปัจจุบันเราก็พยายามเกาะติด เพื่อเข้าถึงแหล่งประกอบวัตถุระเบิดในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง โดยการบังคับใช้กฎหมาย และการเจ้าหน้าที่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบอยู่ตลอดเวลา"

                            พ.อ.ปราโมทย์ กล่าวอีกว่า มือประกอบวัตถุระเบิดทางเจ้าหน้าที่ไม่สามารถพิสูจน์ทราบได้ทั้งหมด เช่น เรามีบัญชีรายชื่ออยู่ 30 คน แต่มาถึงวันนี้ก็อาจจะมีคนใหม่เข้าไปเรียนรู้เพิ่มเติม เนื่องจากการเรียนรู้การประกอบวัตถุระเบิดเป็นการทำวงจรแบบง่ายๆ สำหรับคนที่ตั้งใจเข้าไปศึกษาจริงๆ ก็สามารถทำได้ไม่ยาก และการที่คนร้ายปรับยุทธวิธีมาใช้ระเบิดในการก่อเหตุมากขึ้น คือต้องการให้ดูน่ากลัว ทำลายความน่าเชื่อของรัฐ ซึ่งเป็นวิธีการเดิม ไม่ได้เป็นวิธีการใหม่ เพียงแต่เขาพยายามที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบ โดยหันมาใช้ระเบิดมากขึ้น เนื่องจากการใช้การใช้ระเบิดในแง่ของการสร้างกระแสการรับรู้มากขึ้น การสร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชนในพื้นที่ และสร้างความสูญเสียให้กับทางเจ้าหน้าที่ก็มีมากขึ้น

                            "ในเชิงสถิติการก่อเหตุเปรียบเทียบปีงบประมาณ 2556 กับปี 2555 และ 2554 ถือว่าลดลง แต่ลักษณะการก่อเหตุก็จะหันมาใช้ระเบิดมากขึ้น"

 

 

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ