ข่าว

"2 อ." ติดเบรกกัญชาไทย...ใครได้แสนล้านบาท?

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

โดย...   ทีมข่าวรายงานพิเศษ




          บริษัทสำรวจตลาด “อาร์กวิว มาร์เก็ต รีเสิร์ช” รายงานมูลค่าเศรษฐกิจกัญชาเฉพาะในอเมริกาปีละไม่ต่ำกว่า 5.1 แสนล้านบาท และจะเพิ่มเป็น 1.2 ล้านล้านบาทภายใน 5 ปีข้างหน้า ปัจจุบันมี 30 กว่าประเทศทั่วโลกเปิดเสรีกัญชารวมถึง ไทยแลนด์ น้องใหม่ที่เพิ่งอนุญาตเมื่อต้นปี 2562 “พรรคภูมิใจไทย” ที่เข้ามาบริหารกระทรวงสาธารณสุข ฝันหวานจะสร้างมูลค่าธุรกิจกัญชาในไทยให้พุ่งไม่ต่ำกว่า 1.9 ล้านล้านบาท

 

 

          ทำให้เครือข่ายภาคประชาชนรีบสั่ง “ติดเบรก” เพราะกลัวว่าเม็ดเงินแสนล้านจะไหลลงกระเป๋าคนบางกลุ่ม ไม่ได้กระจายให้ชาวบ้านได้ประโยชน์อย่างทั่วถึงจริง!
 

          พลังแห่งการคานอำนาจระหว่าง 2 อ. คือ “อย.” กับ “เอ็นจีโอ” เริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ


          ย้อนไป 40 ปีที่ผ่านมา รัฐไทยสั่งให้ “กัญชา” เป็นยาเสพติด จนกระทั่งไม่กี่ปีมานี้ “เอ็นจีโอ” หรือเครือข่ายภาคประชาชน นักวิชาการ แพทย์ เภสัช หมอพื้นบ้าน ฯลฯ รวมตัวกันขับเคลื่อนขอให้รัฐบาลคสช. อนุญาตให้มีเปิดวิจัยทดลองใช้กัญชาแก่ผู้ป่วยบางโรค แม้เสียงเรียกร้องช่วงแรกไม่ค่อยได้รับการตอบรับจากหลายกระทรวงนัก แต่พอนักการเมืองบางกลุ่มเริ่มเห็นประโยชน์จึงมาช่วยเคลื่อนไหวเป็นนโยบายหาเสียงอย่างจริงจังทำให้การต่อสู้ของฝ่าย “กัญชาเพื่อการแพทย์” มีพลังเพิ่มมากขึ้นมาทันที

 

 

"2 อ." ติดเบรกกัญชาไทย...ใครได้แสนล้านบาท?

 


          หลังทนแรงกดดันไม่ไหว “บิ๊กตู่” สั่งยกเครื่อง พ.ร.บ.ยาเสพติดฉบับใหม่ปี 2562 บังคับใช้เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ด้วยการเปิดทางให้ “อย.” หรือคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข เข้ามาดูแลรับผิดชอบในการอนุญาต “กัญชาเพื่อการแพทย์” นโยบายนี้ทำให้ คสช.ได้รับเสียงปรบมือเชียร์จากคนไทยหลายกลุ่มเลยทีเดียว โดยผลสำรวจนิด้าโพล 28 พฤษภาคม 2562 พบประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 86 เห็นด้วยที่นำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์! 


          แต่การเปิดเสรี ปลูกกัญชา และ ผลิตกัญชาเป็น “ยา” กำลังจะกลายเป็นช่องทางให้ผู้มีอิทธิพลบางกลุ่มเข้าไป “แบ่งเค้ก” มากินคนเดียว ไม่เหลือให้ชาวบ้านได้ร่วมกันลิ้มรส


          ตัวแทน "กลุ่มธุรกิจยากัญชา” เช่น บริษัทยายักษ์ใหญ่ข้ามชาติ บริษัทเจ้าสัวพืชเกษตร มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล หวังใช้เส้นสายผ่าน “อย.” สั่งควบคุมผลิตภัณฑ์กัญชาให้กลุ่มของตน ประมาณว่ายี่ห้อไหนจะ “ผ่าน” หรือ “ไม่ผ่าน” ต้องให้ อย.เป็นผู้ตัดสินแต่เพียงผู้เดียว

 

 

 

"2 อ." ติดเบรกกัญชาไทย...ใครได้แสนล้านบาท?

 


          ทำให้เครือข่ายเอ็นจีโอที่เป็นพลังสำคัญขับเคลื่อนปลดล็อกกัญชาจากกฎหมายยาเสพติด เช่น ศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) มูลนิธิชีววิถี มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มูลนิธิข้าวขวัญ มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ มหาวิทยาลัยรังสิต เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก เครือข่ายผู้ป่วย ฯลฯ ตัวแทนภาคประชาชนทำงานขับเคลื่อนเรื่องนี้มานานหลายปีหวังให้กัญชาเป็นพืชสมุนไพร ชาวบ้านในชุมชนหรือหมอพื้นบ้านสามารถนำมาปลูกเพื่อสกัดเป็นพืชยารักษาโรคได้เหมือนสมัยก่อน


  

          แต่กลับกลายเป็นว่ารัฐบาลยอมปลดล็อกไม่ทันไร ก็มีคนบางกลุ่มเข้าไปเจาะไข่แดงแสวงหาผลประโยชน์ทันที


          เริ่มจากยกแรกที่ “คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด” ส่งมอบของกลางกัญชา 600 กว่ากิโลกรัม ให้โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร โดยไม่ยอมแบ่งให้ มูลนิธิข้าวขวัญ ทำให้อาจารย์เดชา ศิริภัทร เจ้าของสูตรน้ำมันกัญชาต้องออกมาโวยว่าภาคประชาชนไม่ได้รับความยุติธรรม ทั้งที่กระทรวงสาธารณสุขเคยให้สัญญาว่าจะแบ่งกัญชาของกลางให้บางส่วน เช่น ถ้าได้แบ่งมา 5 ตันจะช่วยผู้ป่วยรอรับยากัญชาได้ไม่ต่ำกว่า 4 หมื่นถึง 1 แสนคน แต่สุดท้ายมูลนิธิไม่ได้แม้แต่กิโลกรัมเดียว


          ยิ่งไปกว่านั้นหลังจาก อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเข้ารับตำแหน่ง รมว.สาธารณสุข ก็สั่งเปิดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ หัวข้อ “กัญชาเสรีเพื่อการแพทย์” วันที่ 12 กรกฎาคม ที่ผ่านมา เพื่อเสนอไอเดียให้ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เป็นตัวแทนขยายผลการปลูกกัญชาภายใน 1-2 ปี ตามนโยบายหาเสียงที่สัญญากับชาวบ้านไว้ว่าจะส่งเสริมกัญชาเป็นพืชเศรษฐกิจ “พลิกชีวิตคนไทย” ด้วยการปลูกกัญชาบ้านละ 6 ต้น เนื่องจากผลผลิตกัญชา 1 ต้นได้ 1 กิโลกรัมต่อปี ราคาประมาณกิโลละ 7 หมื่นบาท เชื่อว่าจะสร้างรายได้ปีละกว่า 4 แสนบาทให้แต่ละครอบครัว


          นโยบายข้างต้นของผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขคนใหม่ สร้างความลำบากใจให้กลุ่มเครือข่ายเอ็นจีโอพอสมควร เนื่องจากหวั่นเกรงว่าจะปิดกั้นรวบอำนาจให้หน่วยงานรัฐแต่เพียงผู้เดียว
 

 

 

"2 อ." ติดเบรกกัญชาไทย...ใครได้แสนล้านบาท?

 

 

          หนึ่งในตัวแทนเครือข่ายภาคประชาชนข้างต้นเปิดใจให้ฟังว่า “กัญชา” ควรถูกส่งเสริมเป็น “พืชยาสมุนไพร” ที่ชุมชนเข้าถึงได้และนำไปดัดแปลงรักษาโรคต่างๆ ตามความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละพื้นที่ แต่ตอนนี้ดูเหมือน อย. จะถูกสั่งให้เป็นผู้รวบอำนาจในการควบคุมดูแลใบอนุญาตทั้งหมด
 

          “ที่ผ่านมา อย. ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานควบคุมคุณภาพยา หรือให้ใบอนุญาตบริษัทผลิตยาชนิดต่างๆ ไม่ได้ทำหน้าที่ส่งเสริมการผลิตยาพื้นบ้าน ตอนนี้กัญชาเป็นเรื่องใหญ่ระดับชาติควรให้ คณะกรรมการกลาง ที่มีตัวแทนของทุกภาคส่วนเข้าไปช่วยกันดูแลจัดการดีกว่าให้หน่วยงานรัฐเพียงแห่งเดียวมีอำนาจเบ็ดเสร็จ ควรช่วยกันกระจายข้อมูลหรือประชาสัมพันธ์ให้คนไทยได้รับรู้ข้อเท็จจริงต่างๆ มองไปถึงอนาคต การต่อสู้เรียกร้องปลดล็อกกัญชาจากยาเสพติดของพวกเราทำต่อเนื่องมานานเป็นความร่วมมือของ ฝ่ายชุมชน แพทย์ หมอพื้นบ้าน เภสัช นักวิจัย นักวิชาการ ฯลฯ แล้วอยู่ๆ มีนักการเมืองเข้ามาควบคุมหรือหาผลประโยชน์ อ้างว่าจะส่งเสริมให้ปลูก อ้างเรื่องปากท้อง อ้างเป็นพืชเศรษฐกิจทำรายได้ให้ประเทศ ซึ่งพวกเราไม่ค่อยเห็นด้วยนัก อยากให้กระจายความรู้และส่งเสริมพืชยากัญชาในลักษณะเป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน หรือหาแนวทางบริหารร่วมกันระหว่างรัฐและชุมชน  ตั้งแต่การปลูก เมล็ดพันธุ์ แปรรูป ผลิตภัณฑ์ อื่นๆ เปิดทางให้แพทย์ นักวิจัยในมหาวิทยาลัย แพทย์แผนไทย หมอพื้นบ้าน ฯลฯ เข้ามามีส่วนร่วมอย่างแท้จริง”

 

 

 

"2 อ." ติดเบรกกัญชาไทย...ใครได้แสนล้านบาท?

 


          ตัวแทนข้างต้นกล่าวต่อว่าขณะนี้มีการช่วยกันยกร่าง พ.ร.บ.พืชยา กัญชา กระท่อม ฉบับประชาชน โดยจะแยก “กัญชา” และ “กระท่อม” ออกจากพ.ร.บ.ยาเสพติด และ พ.ร.บ.วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท เพื่อให้การบริหารพืชยาสองชนิดนี้ได้รับการส่งเสริมที่ถูกต้องตั้งแต่การวิจัยเมล็ดพันธุ์ การปลูกและแปรรูปผลิตภัณฑ์ โดยจะร่างเนื้อหาเสร็จประมาณสิ้นเดือนสิงหาคม จากนั้นนำไปเผยแพร่ขอความร่วมมือประชาชนและฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่างๆ มาช่วยกันทำประชาพิจารณ์และช่วยกันลงชื่อสนับสนุนร่างกฎหมายนี้เพื่อยื่นเสนอต่อรัฐสภาให้เป็นกฎหมายส่งเสริมพืชกัญชากระท่อมสำหรับประชาชนทุกคนอย่างแท้จริง

          แนวคิด “ร่างกฎหมายปลดล็อกกัญชา-กระท่อมให้เป็นพืชยาสมุนไพร” เพื่อส่งเสริมให้ชาวบ้านนำไปใช้ประโยชน์ตามวิถีชุมชน ถือเป็นแนวทางที่น่าสนใจ!
 

          เนื่องจากช่วงนี้มีข่าววงในหลุดออกมาเป็รระยะๆ ว่า สิทธิบัตรยากัญชาของไทย กำลังจะตกอยู่กับกลุ่มนักการเมืองที่ไปแอบลงทุนปลูกกัญชาไว้นานแล้วในประเทศเพื่อนบ้านติดชายแดนไทย รวมถึงกระแสข่าวเจ้าสัวฮั้วกับบริษัทยาข้ามชาติยักษ์ใหญ่หวังคุมตลาดยากัญชาในโรงพยาบาล หรือแม้แต่กลุ่มที่แอบอ้างชื่อแพทย์แผนไทยสมุนไพรโบราณ หวังเป็นเจ้าใหญ่ครองตลาดกัญชาแต่เพียงผู้เดียว


          สุดท้ายคนไทยต้องช่วยกันลุ้นให้การเจรจาต่อรองระหว่าง 2 อ. คือ “อย.” และ “เอ็นจีโอ” โดยมีอีกหนึ่ง “อ.” คือ “อนุทิน” เข้ามาเป็นตัวเร่งปฏิกิริยานั้น ขอให้จบลงด้วยการคำนึงถึง สิทธิประโยชน์คนไทย เป็นหลัก เม็ดเงินแสนล้านบาทที่ฝันหวานแทบไม่มีความสำคัญหาก “กัญชา” ไม่ได้ถูกนำมาช่วยชีวิตผู้ป่วยอย่างทั่วถึงในราคายุติธรรม!
 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ