ข่าว

เงินกู้ดอกเบี้ยโหดฆาตกรร่วม "ฆ่าปาดคอลูกเมีย3ศพ"?

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

รายงาน....

 


          คดีผัวฆ่าปาดคอลูกเมีย 3 ศพ เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา สร้างความเศร้าสลดสุดบรรยาย


          ภาพที่เห็นในที่เกิดเหตุ ช่างน่าสะเทือนใจยิ่งนัก !


          ตำรวจตั้งประเด็นสอบสวน “ฆ่าทำไม?” 

 

 

          ตอบแบบสันนิษฐานเบื้องต้นคือ  “เครียดปัญหาครอบครัว!”


          ขณะที่สังคมออนไลน์ขอมีส่วนร่วมกับคำถามเสียดใจ... “แล้วทำไมต้องฆ่า?”


          ย้อนกลับไปเมื่อ  25 เมษายน  ภายในร้านเอ็นซี ออโต้ซาวด์ ย่านถนนหทัยราษฎร์ แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กรุงเทพฯ ลักษณะเป็นห้องแถวชั้นเดียวมุงหลังคาเมทัลชีท 


          ณัฐศักดิ์ ขำเงิน เก็บตัวเงียบอยู่กับเมียและลูกน้อย 2 คน ในห้องนอนเล็กๆ ผิดกับทุกวันที่มักออกมานั่งคุยเล่นกับเพื่อนบ้านก่อนถึงเวลาปิดร้านเข้านอนอยู่เสมอ

 

          วันนั้น ไม่มีใครรู้สึกผิดสังเกตกับความผิดปกติของครอบครัวนี้ 


          กระทั่งใกล้พลบค่ำ  ธีระพล เดชชัง เพื่อนบ้านที่เปิดอู่ซ่อมรถอยู่ใกล้กัน ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนของ ณัฐศักดิ์ ไหว้วานให้เดินไปดูที่ร้าน เพราะระยะหลัง ณัฐศักดิ์ หรือ นัท มักบ่นกับเพื่อนเรื่องหนี้สินที่ต้องผ่อนจ่ายสูงถึงวันละ 8,000 บาท อยู่บ่อยๆ


          หลังวางสาย ธีระพล รีบเดินไปที่ร้านติดตั้งเครื่องเสียงของ นัท ทันที


          เมื่อไปถึงกลับเห็นผ้าใบสีเขียวปิดบังหน้าร้านไว้ ดูแปลกๆ  


          ธีระพล เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ จึงส่งเสียงร้องเรียกอย่างรัวๆ แต่ภายในกลับเงียบสนิท ไร้สัญญาณขานตอบ


          ถึงตอนนี้ ธีระพล ไม่รอให้ความสังหรณ์ครอบงำนานเกินไปจนอาจจะสาย จึงตัดสินใจเลิกผ้าใบขึ้นแล้วเดินตรงไปยังห้องนอนด้านใน




          ภาพแรกที่ปรากฏเมื่อประตูถูกเปิดออกทำให้เขาถึงกับผงะตกใจสุดขีดคือ “เลือด” ที่กระเซ็นอยู่ตามผนัง และร่างพ่อแม่ลูก 4 คน นอนจมกองเลือด ส่งกลิ่นคาวคลุ้งอยู่บนพื้น  


          หลังรับแจ้งเหตุ พ.ต.ท.ณัฐพนธ์ จุ้ยอำนวย สว.(สอบสวน) สน.มีนบุรี พร้อมพนักงานสอบสวนเดินทางมาที่เกิดเหตุในเวลา 19.30 น.

 

          จากการตรวจสอบ นัท กับเมียและลูก มีบาดแผลถูกเชือดที่ลำคอ 


          เมียและลูกเสียชีวิตไปก่อนหน้าธีระพลจะมาพบ ส่วนนัทยังไม่ตาย แต่อาการสาหัส และได้รับการช่วยเหลือนำส่งโรงพยาบาลช่วยชีวิตได้ทันเวลา  นัท เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่ 2 วัน 


          หลังอาการพ้นขีดอันตราย เขาให้ปากคำกับตำรวจถึงปมเหตุที่ลงมือปลิดชีวิตเมียรักและลูกน้อยวัยแค่ 5 ขวบ และ 1 ขวบ เพราะเครียดจากปัญหาหนี้นอกระบบที่เขาไปกู้เงินมาเพื่อลงทุนทำร้านติดตั้งเครื่องเสียง


          คำให้การของ นัท สอดคล้องกับข้อมูลของเพื่อนตอนที่โทรศัพท์มาขอให้ ธีระพลช่วยเดินไปดูนัทที่ร้านติดตั้งเครื่องเสียงของเขาในวันเกิดเหตุ 


          เช่นเดียวกับเพื่อนบ้านที่มักเห็นแก๊งทวงหนี้นอกระบบมาทวงหนี้กับนัท ที่ร้านเป็นประจำทุกวัน บางครั้งมาด้วยรถยนต์ บางครั้งก็มาด้วยจักรยานยนต์ แสดงว่าคนพวกนี้มีหลายกลุ่ม แต่การทวงหนี้ทุกครั้งก็ไม่เคยเห็นการใช้ความรุนแรง


          เพื่อนบ้านคนหนึ่งบอกว่า ช่วงบ่ายก่อนเกิดเหตุเศร้าสลด มีรถกระบะสีดำมาจอดหน้าร้าน และมีชายฉกรรจ์ลงมาถามหานัท เพื่อทวงหนี้ แต่เห็นหน้าร้านมีผ้าใบสีเขียวคลุมไว้ ชายฉกรรจ์ที่มาทวงหนี้เลยเดินไปถามที่ร้านข้างๆ 


          เมื่อร้านข้างๆ แจ้งว่าไม่เห็นคนในร้านเครื่องเสียงตั้งแต่เช้าแล้ว ชายฉกรรจ์คนดังกล่าวจึงเดินทางกลับไป 


          ขณะที่ อุดม สมบุตร แม่เลี้ยงเมียสาวของนัท บอกกับผู้สื่อข่าวในวันไปรับศพลูกสาวที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ ยอมรับว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับปัญหาหนี้สินในครอบครัว 


          อุดม บอกว่า ก่อนเกิดเหตุลูกสาวได้มาขอยืมเงินแต่ก็ไม่ทราบรายละเอียดมากว่าเป็นหนี้ใครจำนวนเท่าไร กระทั่งวันที่ 24 เมษายน มีเจ้าหนี้มาทวงเงินต้น 2 หมื่นบาท ค่าดอกเบี้ยเงินกู้วันละ 1,000 บาท ซึ่งเธอรับปากว่าจะพยายามช่วยเหลือ โดยจะขอยืมเงินจากญาติมาให้ แต่ก็ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น
“ฉันขออโหสิกรรมให้ ไม่อยากอาฆาตแค้นกับใคร เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องฆ่าลูกฆ่าเมีย เพราะปัญหานี้ตัวเองเป็นคนก่อขึ้นไม่เกี่ยวกับลูกๆเลย ส่วนที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหนี้ดอกเบี้ยโหดว่าจะมีการแจ้งความเอาผิดเจ้าหนี้หรือไม่นั้น ปล่อยให้เป็นไปตามกฎหมาย”


          จากข้อมูลการสอบสวนของตำรวจ ค่อนข้างมั่นใจว่า ปมเหตุที่ทำให้ นัท ก่อเหตุสะเทือนใจ เพราะทนไม่ไหวกับแรงกดดันจากแก๊งทวงหนี้เงินกู้ ซึ่งเขาได้หลงไปสร้างพันธะไว้เมื่อ 4 เดือนมาแล้ว


          ตอนนี้แม้ นัท รอดพ้นเงื้อมมือมัจจุราชมาได้ แต่เขาต้องถูกดำเนินคดีข้อหาฆ่าคนตายโดยไต่ตรองไว้ก่อน  ซึ่งศาลได้อนุมัติหมายจับและตำรวจได้อายัดตัวไว้ที่โรงพยาบาล เพื่อรอส่งตัวไปฝากขังในภายหลัง


          ขณะที่เหตุการณ์ที่เกิดกับครอบครัวเขาได้ถูกขยายผลไปสู่การติดตามกวาดล้างขบวนการเงินกู้นอกระบบทันที เมื่อ พล.ต.ท.สุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น ผบช.น. ได้สั่งการให้ตั้งคณะทำงานติดตามคดีและขยายผลตรวจสอบแก๊งเงินกู้ดอกเบี้ยโหด มี พ.ต.อ.ชาญวิทย์ พุ่มโพธิ์ รองผบก.น.3 รับผิดชอบ 


          พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ผช.ผบ.ตร. บอกว่า คดีนี้แบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นเรื่องดำเนินคดีกับนัท ทาง สน.มีนบุรี จะดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย ส่วนที่ 2 เป็นเรื่องหนี้นอกระบบ อยู่ในความรับผิดชอบของ บก.น.3 และศูนย์ปฏิบัติการป้องกันปราบปรามการฉ้อโกงทรัพย์สินของประชาชน(ศปฉช.ตร.) จะร่วมดำเนินการสืบสวนด้วย


          ผช.ผบ.ตร.ระบุด้วยว่า จากการตรวจสอบพบนัทก่อเหตุดังกล่าวเพราะคับข้องใจเรื่องการถูกทวงหนี้ แม้จะกู้เงินแต่ละเจ้าในวงเงินที่ไม่สูง แต่กู้หลายราย ทั้งจากใบปลิวและในโซเชียลมีเดีย พอมีดอกเบี้ยสูงทำให้มีภาระค่าใช้จ่ายสูงตาม จนรายได้ไม่เพียงพอในการจ่ายหนี้ จึงลงมือก่อเหตุ


          ด้าน พ.ต.อ.ชาญวิทย์ รายงานความคืบหน้าว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้ชุดสืบสวนเร่งติดตามแก๊งเงินกู้มาสอบปากคำและเตรียมขยายผลไปถึงนายทุนเงินกู้นอกระบบ หลังจากมีรายงานว่าชุดสืบสวน บก.น.3 คุมตัวแก๊งเงินกู้นอกระบบมาสอบปากแล้ว 4 ราย ซึ่งทำหน้าที่เป็นคนเก็บดอกเบี้ย และคาดว่ามีกลุ่มเงินกู้นอกระบบอย่างน้อย 7-8 ราย


          พ.ต.อ.ชาญวิทย์ บอกว่า จากการสอบปากคำผู้ที่ทำหน้าที่เก็บดอกเบี้ยพบข้อมูลที่น่าตกใจ มีการเก็บดอกเบี้ยมากกว่าร้อยละ 20 บางรายเก็บดอกเบี้ยพร้อมเงินต้นมากกว่า 2,000 บาทต่อวัน รวมแล้ว นัทจะต้องผ่อนชำระสูงถึงวันละ 8,000 บาท


          พ.ต.อ.ชาญวิทย์ ระบุว่า แก๊งเงินกู้นอกระบบมีความซับซ้อน เพราะผู้ที่ทำหน้าที่เก็บดอกเบี้ยก็เป็นลูกหนี้เช่นกัน ถูกนายทุนบังคับให้มาเก็บดอกเบี้ยลูกหนี้รายอื่นๆ เพื่อแลกกับการปลดหนี้ จึงยอมทำงานให้แก่กลุ่มนายทุนเงินกู้นอกระบบ 


          ข้อมูลของชุดสืบสวน บก.น.3 พบว่านายทุนเงินกู้กลุ่มนี้เป็นนายทุนต่างจังหวัด หาลูกค้าด้วยการแจกใบปลิวและโฆษณาในเพจเฟซบุ๊ก และโซเชียลมีเดีย  

 

          พฤติกรรมของนายทุนเงินกู้กลุ่มนี้ จะให้ตัวเดินเก็บเงินเป็นคนวิ่งนำเงินก้อนไปให้และเป็นคนเก็บเงินกู้ตามจำนวนที่ตกลงกัน ซึ่งส่วนใหญ่ลูกหนี้ทุกคนจะถูกทำสัญญาเงินกู้เป็นระยะเวลา 24 วัน โดยหัวหน้าแต่ละสายจะมีนายทุนเป็นคนอยู่เบื้องหลัง ซึ่งขณะนี้ทราบว่านายทุนแต่ละคนกระจายอยู่ตามนอกเขตกรุงเทพฯ 


          นอกจากการเก็บดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 20 ยังมีการเก็บเงินแบบ “ดอกลอย” คือการที่ลูกหนี้ขอกู้ยืมเงินก้อนใหญ่แล้วมีการตกลงว่าแต่ละวันจะจ่ายดอกเบี้ยตามที่ตกลงกันไว้โดยที่เงินต้นไม่หายไป เช่นกู้เงิน 1 หมื่นบาท ต้องจ่ายดอกเบี้ยวันละ 200 บาท จนกว่าจะมีเงินต้น 1 หมื่นบาท มาให้เจ้าหนี้


          “ขณะนี้ตำรวจมีข้อมูลกลุ่มนายทุนทั้งหมดแล้ว คาดว่าจะสามารถพิจารณาขอศาลออกหมายจับผู้เกี่ยวข้อง 6-8 รายตามคำให้การของ นัท  โดยจะออกหมายจับในข้อหา ฉ้อโกงประชาชน และความผิดตาม พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 และขยายผลติดตามจับกุมได้ทั้งหมดภายในสัปดาห์หน้า โดยจะมีการประชุมสรุปข้อมูลอีกครั้งในวันที่ 29 เมษายน ที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 3”


          กระนั้น ความตื่นตัวของตำรวจในการเร่งติดตามจับกุมแก๊งเงินกู้นอกระบบ ซึ่งถูกประณามว่าเป็นฆาตกรเลือดเย็นตัวจริง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะปัจจุบันธุรกิจมืดสายนี้ยังคงเฟื่องฟูสวนทางกับนโยบายปราบปรามของรัฐบาลยุค คสช.อย่างสิ้นเชิง 


          หลังจากนี้คงต้องจับตาดูว่า รัฐบาลโดยฝ่ายทหาร และตำรวจ จะกลับมาเอาจริงเอาจังกับมาตรการกวาดล้างธุรกิจใต้ดินเหล่านี้อย่างไรต่อไปหรือไม่?

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ